พลังเสรีภาพ กับประชาธิปไตยก็งี้แหล่ะ
คนออกแบบระบบไม่ผิด ผิดตรงที่คนที่เสพติดจนเมา
ตอนแรกแนวคิดแปลกๆอาจจะเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ
พอขยายไปในสังคมได้ ก็คิดว่าจำนวนเสียงคือความถูกต้อง
แต่ลืมไปว่าโลกไม่ได้มีแค่คนขาว กับคนดำ
ต่อให้ตะแบงแค่ไหน คนเอเชียก็ไม่สนตามแม่มหรอก
ขนาดในอเมริกา คนผิวดำยังไม่ถึง 30% เลยมั้ง
อย่างไปบังคับเกมจีน ญี่ปุ่น ที่เน้นขายคนในประเทศ คนเขาแม่มมีเชื้อสายชาติฝั่งตะวันตกยังไม่ถึง 1% เลยมั้ง
ถ้าคิดว่ามีคนดำซัก 20% ในอเมริกา ก็ ซัก 60 ล้าน
ในยุโรปตีว่าเท่าๆกัน ในแอฟริกา แม่มเล่นเถื่อน
รวม 120 ล้านคน
เป็นคนทึ่ไม่สนว่าตัวละครหน้าตาเป็นไง 10%
เหลือ 12 ล้าน เป็นผู้หญิง 50%=6ล้าน
เป็นวัยเล่นเกม 50% เหลือ 3 ล้าน
เป็นแนวเกมที่เล่น 30% เหลือ 1 ล้าน
เป็นคนที่ยอมเล่นแม้จะมีเกมอื่นที่ดีกว่า 10% เหลือ 1 แสน
เป็นพวกที่พร้อมเล่นทันทีไม่สนใจรีวิว 20% เหลือ 2 หมื่น
เป็นคนมีตังจ่ายเกมแพง 20% เหลือ 4000 คน
สรุป แม่มทำยังไงก็เจ๊ง
ถ้าไม่ไปบังคับกลุ่มผู้เล่นเฉพาะกลุ่มมากไปหลายเกมก็คงไปต่อได้อยู่
ผมก็เคยบอกไปแล้วว่า แม่งขายเกมโดยใช้แนวคิดสินค้า อุปโภค
อย่างเช่น ตลาด มีสบู่? ยี้ห้อ** ขายเแค่ 1-2เจ้า
ถ้ากถทำ สบูที่เหมือนกับยี้ห้อที่ขายอยู่ก่อนแล้ว
กุต้องแย่งลูกค้ามาได้ราวๆ สัก 30% แล้วกุจะ/ได้ส่วนแบ่งตลาด ประมาณนี้
ปัญหาคือเกมไม่ใช้สินค้าจำเป็น มันเป็นศิลปะ ที่ต้องอาศัยความชอบ ความต้องการของผู้ซื้อ
แม่งเลยทำมาแล้วเจ๊งยับหมา
เปรียบเป็นเกม คือ เกมแนว hero shooter ,
มีแค่ไม่กี่เจ้าที่ทำ มันเลยมโนกันว่าถ้ากูทำ hero shooter เหมือนกัน คนต้องแบ่งมาเล่นของกูแน่ๆ
แล้วก็ทำเกม เหรี้ยๆ ออกมาเกมนึงโดยคิดว่า เกมเมอร์ต้องมาขอร้องเล่นเกมของมัน
สรุปพังใน 2อาทิตย์
marvel rivals ก็ถือว่าถอดบทเรียนมาดี ทำเกมแบบไม่สนใจสื่อหรือคะแนน
คนเล่นกันเยอะเอาการ