สมมุตินะครับว่าถ้าเราเข้าไปในต่างโลกแต่ชิวีตก็อยู่ปกติในเมืองปกติเอาสักประมาณลูกเศรษฐีลูกขุนนางบ้านนอก ไม่ลำบากอะไรที่นี่ไม่ว่าจะเป็นระบบการฟามฆ่ามอนแบบเกมหรือการฝึกปราณฝึกวิชาแบบนิยายจีน เอาตามตรงคือคนปกติไม่คุ้นเคยที่จะทำในชิวีตจริงทังนั้นแหละครับทางเลือกมีคุณจะไช้ความรู้ปกติของคุณ ไปไช้แบบไหนครับแบบแรกพยายามฝึกฟามจนเก่งจะทำได้เหมือนกับเหล่าตัวเอกนิยายที่มีเชือกรัดคอจ่อเส้นตายได้ไหม ส่วนตัวผมถ้ามีเวลาวางแผนผมว่าถ้าไม่มีของเทพตกแบบนิยายฝึกแบบไม่มีมีดจ่อหลังน่าจะดีกว่ามัง แต่ต่อไห้มีพลังโกงแบบตัวเอกนิยายแต่โลกที่ไม่มีเส้นตายอะไรพลังก็ไม่ไช่ทางเลือกเดียวนี่ครับ อาจค้าขายเปิดตลาดไปทัวโลกหรือหาความรู้ในต่างโลกไปเป็นขุนนางหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ คำถามคือจะฝึกไปได้จนถึงขั้นไหนต่างหากครับหรือจะไม่ฝึกเลยไช้ชิวีตต่างโลกแบบปกติสุข
ผมคงกังวลมหาศาลเพราะมันยืนบันได้สองอย่าง
หนึ่งวิญญาณมีจริง
สอง มิติอื่นๆมีจริง
ข้อเท็จจริงสองอย่างนี้ก็ทำเอาไฟลนก้นผมแล้วล่ะครับ
แต่อย่างที่ว่า
ผมจะเน้นไปทาง "เล่นแร่แปรธาตุ"
ที่เราใช้ความได้เปรียบของการศึกษาภาคบังคับได้อย่างเต็มที่
และความรวยของขุนนางบ้านนอก ค่อยๆทดลองไป
วิทยาศาสตร์ คือวิธีการ
ตราบใดที่เรายังทดลองอยู่
เราจะมีความรู้มากกว่าคนอื่นในโลกเดียวกันหลายร้อยปีหากเราปรับความรู้ปัจจุบันเข้ากับสมการเวทย์ได้
ผมนึกตนเอง น่าจะไม่ใช่สายบ้าพลัง แต่เน้นสายใข้ความรู้ของปัจจุบันให้เกิดประโยขน์สูงสุด
.....
ผมคิดถึงอีลอน มัสก
ว่ากันตรงๆ ไม่ใข่คนฉลาดเลยก็ได้
การผลิตจรวดไปอวกาศนั้น
มีการทำได้ตั้งแต่สงครามเย็น
ปัจจุบันเทคโนโลยีทุกด้านก้าวหน้ากว่ามหาศาล
แต่ทำไมคนถึงหัวเราะเยาะ อีลอน ว่าเป็นสิบแปดมงกุฎในตอนแรก?
ทั้งที่ปล่อยจรวดไปอวกาศก็เห็นๆกันอยู่ว่าทำได้?
"การรู้ว่าเรื่องนี้ทำได้"
สำหรับผมนี่คือข้อได้เปรียบอีกอย่างเหมือนกันที่ทั้งนักอ่านและนักเขียนลืมๆกันไป