ก็ตามหัวกระทู้เลยครับผมอยากถามความเห็นเพื่อนๆในนี้ว่าคนรวยกับคนจนในไทยใครเอาเปรียบใครกันแน่ กฏหมาย นโยบายรัฐบาล รวมกฏและระเบียบอื่นๆที่รัฐบาลออกมามันเอื้อประโยชน์ให้ใครมากกว่ากันระหว่างคนรวยกับคนจนและรัฐบาลใช้เงินประเทษช่วยเหลือและอุ้มคนกลุ่มไหนมากกว่ากัน
ปล.ไม่อยากตั้งกระทู้เยอะอันนี้เคยอ่านคอมเมนในเวปนี้ที่อื่นแล้วมีคนบอกว่ารัฐบาลจีนไปไล่ยึดทรัพย์ ยึดเงิน เศรษฐีจีน ไปบังคับให้เศรษฐีจีนทำอะไรต่างๆให้ฟรีๆ ไปบังคับให้ดาราบริจาคเงิน มีใครในเวปนี้พอแหล่งข่าวจะในหรือต่างประเทศบ้างไหมครับพอดีอยากอ่านรายละเอียดมากกว่าแค่คอมมเมนที่พูดขึ้นมาลอยๆๆ
มันต้องถามก่อนครับว่าเป็นของประเทศอะไร ถ้าเป็นประเทศไทยกับเมกาก็คนรวยครับ
เดี๋ยวผมจะอธิบายว่าคนรวยได้เปรียบอย่างไรนะครับ เพราะถ้ามองผิวเผินคนจนเหมือนจะได้เปรียบจากภาษีขั้นบันได(Progressive Tax)
แต่ลึกลงไปกว่านั้นมันมีภาษีตัวอื่นอีกครับ
ผมอ้างอิงจากหนังสือพ่อรวยสอนลูก ของโรเบิร์ต คิโยซากิเลยละกันนะครับ คนรวยมีข้อได้เปรียบเรื่องการใช้ประโยชน์จากภาษีครับ
นั่นคือการก่อตั้งนิติบุคคล หรือ บริษัทขึ้นมา ภาษีตัวนี้คิดไม่เหมือนภาษีรายได้บุคคลนะครับ
กรณีเป็นภาษีบุคคล ส่วนที่นำไปคิดภาษี = รายได้ - ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษี)
แต่ถ้าเป็นภาษีนิติบุคคล ภาษี = กำไรสุทธิ(Net Profit) หรือ EBIT(Earning Before Interest and Tax) = รายได้ - รายจ่าย
ขณะที่ภาษีบุคคลได้ทั่วไป
ตัวอย่างที่ 1 นะครับ
นาย A มีเงินได้เท่ากับ 12,000,000 บาทต่อปี หักลดหย่อนเท่ากับ 160,000 บาท จะเหลือ 11,840,000 บาทเพื่อนำไปคิดภาษี ผมเอาเข้าโปรแกรมคิดภาษีเลย
https://www.tiscoasset.com/th/asset/html/tax-calculator.jspนาย A จะเสียภาษีเท่ากับ 3,659,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2 นะครับ
นาย B ก่อตั้งบริษัทนิติบุคคล บริษัทนิติบุคคลของนาย B มีเงินได้ทางบัญชีเท่ากับ 100,000,000 บาทต่อปี และมีมีรายจ่ายทางบัญชี 88,000,000 บาทต่อปี
ส่วนที่ผมจะนำมาคิดภาษีก็จะเหลือ 100,000,000 - 88,000,000 = 12,000,000 บาทต่อปี คือกำไรสุทธิก่อนคำนวนภาษี(ผมเอาให้เท่ากันเลยจะได้เห็นภาพให้ชัด)
ช่วง 300,000 บาทแรก ส่วนที่เอามาคิดเท่ากับ 300,000 บาท ผมจะได้รับการยกเว้นภาษี
ช่วง 300,001 - 3,000,000 บาท ส่วนที่จะเอามาคิดก็จะได้ 2,7000,000 บาท คิดภาษีเท่ากับ 405,000 บาท
ช่วง 3,000,000 ขึ้น ส่วนที่จะเอามาคิดภาษีเท่ากับ (12,000,000 - 3,000,000) = 9,000,000 บาท จะคิดภาษีได้เท่ากับ 9,000,000x20% = 1,800,000 บาท
รวมภาษีนิติบุคคลของ B ที่ต้องเสียจะเท่ากับ 0 + 405,000 + 1,800,000 = 2,205,000 บาท
สรุปนะครับ
นาย A เป็นคนทำมาหาได้ธรรมดาหาเงินได้ 12,000,000 บาท จะเสียภาษีบุคคลได้ 3,659,000 บาท (อันนี้คือคิดภาษีเงินบุคคลได้ของคนจนกับคนชั้นกลางในกรณีได้เงินเท่ากับคนรวยที่จดทะเบียนนิติบุคคล)
นาย B เป็นคนรวยจดทะเบียนนิติบุคคลหาเงินได้กำไรสุทธิก่อนหักภาษี 12,000,000 บาท เช่นเดียวกันนาย A (ตัวแทนคนจนกับคนชั้นกลาง) จะเสียภาษีนิติบุคคลแค่ 2,205,000 บาท
จะเห็นได้ว่าคนรวยเขามีวิธีที่จะเสียภาษีน้อยกว่าคนจนกับคนชั้นกลาง ถ้าเขาสามารถ Generate เงินได้เท่ากัน รู้ยังว่าใครได้เปรียบใคร อันนี้ผมคำนวนภาษีเป็นตัวเลขให้ดูเลย ชัดเจนแบบไม่ต้องถกเถียงแล้ว
แต่..ผมมีแต่ นาย B คนรวยซึ่งจดทะเบียนนิติบุคคล ยังมีวิธีลดภาษีจากนี้ได้อีกนะครับ นั้นคือการขอคืนภาษี VAT
เพื่อนๆทราบกันมั้ยครับว่าภาษี VAT คืออะไร และมันคำนวนอย่างไร
ภาษี VAT มาจากคำว่า Value Add Tax หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทุกคนคงจะสงสัยต่อว่าภาษีนี้มันมูลค่าเพิ่มอย่างไร
VAT มันจะมี 2 อย่าง คือ
1.ภาษี VAT ซื้อ
2.ภาษี VAT ขาย
ภาษี VAT ซื้อ คือ ภาษีส่วนที่เราขอคืนภาษีได้ ในกรณีที่เราแสดงภาษี VAT ขาย เราจะเสียภาษีเป็นส่วนต่างระหว่าง VAT ซื้อ กับ VAT ขาย
ยกตัวอย่าง สมมุติว่า VAT 7% แบบบ้านเรานะ
ผมเป็นเจ้าของร้าน Black7Nos ซูเปอร์มาเก็ต ผมลงทุนซื้อ ตุ๊กตาหมีแพนด้า มาในมูลค่า 100 บาท(ไม่รวม VAT) เมื่อรวม VAT 7% (7บาท) ผมจะต้องลงทุนซื้อ 107 บาท (ถ้ากรณีรวม VAT แล้วให้คำนวนกลับ)
ผมเอาตุ๊กตาหมีแพนด้าน่ารัก มาวางขายในซูเปอร์มาเก็ต โดยผมตั้งราคาขาย 150 บาทแบบไม่รวม VAT เมื่อรวม VAT ราคาขายจะอยู่ที่ 150x1.07 = 160.5 บาท ปรากฎว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งเข้ามาในซูเปอร์มาเก็ต ซื้อตุ๊กตาหมีแพนด้าที่ผมวางขายไป เด็กผู้หญิงคนนั้นก็จะรับภาระภาษี VAT เท่ากับ 10.5 บาท
เด็กผู้หญิงเป็นคนเสียภาษ๊ แต่ผมซึ่งเป็นผู้ขายมีหน้าที่หักนำส่งสรรพากร วิธีคิดภาษี VAT คือ VAT ขาย - VAT ซื้อ = 10.5 - 7 = 3.5 บาท
สรุปผมจะเสียภาษี VAT แค่ 3.5 บาทเท่านั้น ซึ่งผู้นำส่งคือ คนที่ขายตุ๊กตาหมีแพนด้าแก่ผม
ในขณะที่น้องผู้หญิงที่ผมซื้อตุ๊กตาแพนด้าน่ารัก จะต้องรับภาระทางภาษีไป 10.5 บาท แต่ผมจะเป็นคนนำส่งภาษีนี้แก่สรรพากรเอง
หรือ พูดง่ายๆ ผมซึ่งเป็นผู้ขายคือผู้ผลักภาระภาษีให้น้องเด็กผู้หญิงรับต่อทั้งหมด
เพื่อนเห็นอะไรมั้ยครับ ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมด ในขณะที่คนรวยซึ่งเป็นเจ้าของกิจการและจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถผลักภาระภาษีออกไปจากตัวเองได้ส่วนหนึ่ง
(แต่ก็ยังเสียนะ เสีย 3.5 บาท แต่คนก่อนหน้าคือคนนำส่งภาษี ส่วนน้องผู้หญิงคือเสียเต็มข้อเลย เพราะคือคนท้ายสุดคือ 10.5 บาท)
แล้วทราบมั้ยว่าการสำแดงภาษีซื้อเพื่อขอคืนภาษี VAT ซื้อ นั้น สมัยก่อนมีการซื้อขายใบกำกับภาษี ไม่สังเกตเหรอครับ ทำไมตอนใกล้ๆสิ้นปี จะมีคนบางคนขอซื้อต่อใบกำกับภาษี
เพราะมันจะเคลมภาษี VAT ซื้อคืนได้ไงครับ ไม่ว่าจะเป็นใบกำกับภาษีทางด่วนเอย น้ำมันเอย หรือจิปาถะทั้งหลายนั่นแหละ มันมีการซื้อขายต่อนะครับ
สมมุติว่า ผมมีรายได้ 100 ล้านบาท ผมมีรานจ่าย 88 ล้านบาท โดย 88 ล้านนี้มันรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปแล้ว ถ้าคิดแยกภาษี
ต้นทุนรายจ่ายก่อนรวมภาษี VAT จะเป็น 88/1.07 = 82 บาท ภาษี VAT ซื้อจะเท่ากับ 88 - 82 = 6 ล้านบาท และสมมุติว่าผมมี VAT ขายเท่ากับ 12 ล้านบาท
ผมจะต้องเสียภาษี VAT เท่ากับ = ภาษี VAT ขาย - ภาษี VAT ซื้อ = 12 - 6 = 6 ล้านบาท ผมจะต้องเสียภาษี 6 ล้านบาทส่งสรรพากร
สมมุติว่าผมไปหาใบกำกับภาษีมาได้เพิ่ม 2 ล้านบาท ทำให้ VAT ซื้อ ผมเป็น 6 + 2 = 8 ล้านบาท
ผมก็จะเสียภาษี VAT ใหม่เท่ากับ = ภาษี VAT ขาย - ภาษี VAT ซื้อ = 12 - 8 = 4 ล้านบาท
เห็นมั้ยว่าในฐานะที่ผมเป็นคนรวยที่จดทะเบียนนิติบุคคลผมสามารถประหยัดภาษีไปได้จากเดิม 6 ล้าน เป็น 4 ล้านบาท
ขณะที่คนจนซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้ายจะต้องรับภาษี VAT ขายแบบไม่มีอะไรหักลบ
อันนี้คือผมคำนวนจริงให้ดูเลย เพื่อจได้หมดข้อถกเถียงกันนะครับ
ถ้าเงินได้เท่ากัน คนรวยเสียน้อยกว่านะครับ