[quote/]
หมายถึง Banana Wars น่ะเหรอครับ สาเหตุไม่ได้เกิดจากกล้วยเลยแม้แต่น้อยเลยครับ
อเมริกาต้องการรักษาอำนาจเหนืออาณานิคมที่มีอยู่ในประเทศแถบนั้นตามหลักมอนโร ที่มีบริษัทขายผลไม้ "united Fruit Company" เป็นตัวหน้าฉากต่างหากล่ะครับ
แล้วข่าวโกโก้ "จะ" ขาดตลาด ถ้าไปอ่านข่าวจะพบว่าเป็นเหตุผลทางด้านสิงแวดล้อมเป็นปัจจัยใหญ่ๆเลยล่ะครับ แถมมี Article ใหม่ออกมา Debunked แล้วล่ะครับแต่มันต้องสมัครเพื่ออ่านน่ะครับเลยไม่รู้ว่าจริงๆพูดว่ายังไง
ได้แต่เดาหัวข้อเอา
https://www.wsj.com/articles/what-chocolate-shortage-cocoa-steadies-as-record-output-projected-11559649601
ใช่แล้วล่ะครับ การเมืองจะเข้ามาเกี่ยวเสมอ
ไปเจอบรรยายมาว่า คนที่ครองพื้นที่ก็คือเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่
ซึ่งก็ไม่แปลกการทำพื้นที่ขนาดใหย่มในหมู่พวกเศรษฐีเจ้าของที่ดินมีมาตั้งแต่สมัยโรมันน่ะครับ
ที่ผมมองคือมันเกิดปัญหาแน่ๆ เช่นยกตัวอย่างใมห้เฉพาะเจาะจงลงก็ลูกสาวดยุก ที่พัฒนาด้านระบบการเงินและการผลิตสินค้าสฟุ่มเฟือยครับ
น่าจะเพราะเป็นผู้หญิงเลยคิดไปในเรื่องสินค้าฟุ่มเฟือย น้ำหอมเครื่องสำอางค์
ไม่ได้ตำหนิว่าเป็นของไม่ดี มันคือการพัฒนาการของมนุษย์
แต่สินค้าฟุถ่มเฟือยมันคือที่มาของสังคมผู้บริโภคและเศรษฐกืิจอย่างทุกวันนี้ล่ะครับ
ว่าคุณเธอจะสร้างสาว OL mี่ทำงานหนักทั้งวันอย่างตัวเธอขึ้นมาอีกในไม่ช้าในอนาคต
ในช่วงระยะใกล้ๆนี้ก็น่าจะเกิดการใช้แรงงานและโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กในการผลิตน้ำหอม เครื่องสำอางค์และอื่นๆ
เป็นสังคมแรงงานเร็วขึ้นว่าอย่างนั้น
รึท่านชอบไปอยแบบ หนูไมล์หนอนหนังสือช่วงแรกๆล่ะ แค่ค่าข้าวแต่ละมื้อยังแทบไม่พอกิน แชมพูไม่มีสระ ไม่มีสบู่ ชุดก็ใสซ้ำไปวันๆ
นั่นก็น่าสนใจไปอีกแบบล่ะครับ
วว่าไปแล้วผมมองในแง่ที่ว่า หากเป็นคนแบบทาเนีย ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจาะระบบทุนนิยม
ผมจะไม่แปลกใจถ้าเป้นคนที่เชื่อเรื่องตลาดเสรี พัฒนาทุนนิยมอย่างรวดเร็ว
แต่หากเป็นคนที่ทำงานหนักเป็นสาว OL หรือคุณลุงพนักงานไม่มีแฟนมาเพราะทำงานหนักอย่างเดียว..มันแปลกๆที่จะอยากพัฒนาอุตสาหกรรมและทุนนิยมน่ะครับ
หากใช้เพื่อส่วนตัวก็อา่จจะพอเข้าใจ แต่ปรับบใช้ทั้งสังคมก็เหมือนกับจะดูไม่นึกถึงผลที่ตามมาข้างหน้าพอสมควร
หรืออาจจะเป็นคนที่คิดแต่มองในแง่ดีซึ่งนั่นก็ไม่ผิดอะไร
แค่เป็นประเด็นที่ผมว่าน่าจะมีการฉุกใจคิดกันมาบ้าง ว่าหนีการทำงานแบบนั้นมาต่างโลกแล้วยังพัฒนาระบบห้างสรรพสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมอีก
ผมว่ามันอยู่ที่นิสัยกับความจำเป็นของตัวเอกล้วนๆนะครับ เช่นโลลิค้ายากับเทพธิดาโรงแรม(พื้นที่โฆษณาฮา) นางสองคนนี่ทั้งฉลาดและโคตรจะOP แต่เห็นพวกนางถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรบ้าง? ก็ไม่มีเพราะว่าไม่อยากทำ อย่างเจ้าแม่นี่โคตรจะหวงความรู้เลยด้วยซ้ำไป. ส่วนโครโน่ที่ท่านดาบม่วงแปลนี่มันไม่ค่อยจะมีความรู้ด้วยซ้ำแต่เพราะมันอยากจะทำกับจำเป็นต้องทำมันถึงถ่ายทอดความรู้ก็เท่านั้นเอง
อันนั้นพอเข้าใจในเคสที่อาละวาดไปทั้งยุทธภพครับ
ว่าขขายมาใช้ไป อยู่แค่ในระยะใกล้ๆ
มันมีเคสอย่างเดสมาร์ชมั้ง?ที่ตอนหลังก็สร้างร้านสรรพสินค้าขึ้น
โครโน่ คงออกแนวสุ้ด้วยความจำเป็นนั่้นล่ะ เพราะต้องการความได้เปรียบในด้านสงครามและดินแดน
อย่างปล่อยแม่มด ผมไม่ตำหนิอะไรเพราะเป็นชาวจีน ที่มีแนวคิดพัฒนาแบบอเมริกาว่าไม่พัฒนตาก็โนปีศาจหรือไม่ก็พี่น้องฆ่าแน่นอน
เหมือนเจ้าของกระทู้จะมีธงอยู่แล้วว่าการนำเข้าแนวคิด หรือเทคโนโลยีไปยังต่างโลกจะทำให้เกิดความลำบาก
ผมต้องขอถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะลำบาก อย่างที่บอกไปแล้วว่าเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ นั้นเกิดมาจากความขี้เกียจของมนุษย์ ที่อยากสบาย
ดังนั้นสิ่งที่ตัวเอกสร้างขึ้นก็เพื่อตอบสนองต่อสิ่งนี้
ท่านอาจจะแย้งว่า ก็เพราะสิ่งนี้ทำให้ตอนอยู่โลกเก่าต้องทำงานดุจทาส
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพอมาอยู่โลกนี้แล้วจะต้องเป็นเหมือนกันนะครับ
คนเปลี่ยน สถานที่เปลี่ยน เวลาเปลี่ยน สุดท้ายผลลัพธ์ก็อาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้
ตัวเอก (อย่างที่หลายๆ ท่านว่าไว้) เป็นคนนำเข้าสิ่งใหม่ๆ ก็เปรียบเสมือนเจ้าของ หรือนายจ้าง ความลำบากตอนเป็นลูกจ้างก็จะไม่มี
แถมยังเป็นคนที่เคยเจอจุดที่เป็นปัญหามาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะแก้ปัญหาไม่ให้คนอื่นตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับตน
เช่น หนูหมียูนะ จากฮิกกี้เกลียดพ่อแม่ ก็พยายามสอนให้เด็กกำพร้าทำงาน
หรือเรียวมะ ในเรื่อง The Man Picked up by the Gods ที่ถึงจะตั้งร้านซักรีดขึ้นมา ก็พยายามให้ลูกจ้างได้รับสวัสดิการที่ดี ไม่ถูกกดขี่เหมือนตอนที่ตนทำงานในโลกเดิม
สรุปคือผมยังคงตอบคำเดิมว่านวัตกรรมที่นำไปต่างโลกไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนลำบาก
อย่างเมดพี่สาว ท่านรู้ได้ไงว่านางลำบาก นางเสียใจที่มีความรู้ ท่านอาจจะมองว่าผู้หญิงที่มีความรู้ จะทำให้แต่งงานช้า หรือขึ้นคาน และนั้นคือนรกในความคิดของท่าน
แต่นั้นแหละ เมดพี่สาวอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ นางอาจจะมีความสุขที่ได้ทำงานเพื่อผู้อื่น และไม่ได้มองว่าผู้หญิงต้องแต่งงาน แล้วเฝ้าบ้าน เลี้ยงลูก ตามทัศนคติของสังคมที่ยัดเยียดมาให้
นี่เป็นความคิดส่วนตัวของผม ซึ่งก็ไม่คิดจะยัดเยียดให้ท่านคิดเหมือนผม เพราะคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ชีวิตที่ผ่านมาก็เจออะไรที่ต่างกันไป มุมมองสิ่งต่างๆ ก็ย่อมต่างกันไปด้วย
อะไรที่ทำให้ท่านไม่พอใจความคิดผมก็ขออภัยบ
ผมแค่บรรยายพัฒ?นาการประวัติศาสตรืเท่านั้น
ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะทำให้เกิดเหตุการณืที่พวกเขาเจอในอนาคตเท่านั้นเอง ไม่มีทางเลี่ยง
การมีความสุขที่มีเงิน อิสระ ใช้จ่ายอย่างมีความสุข child free life แบบที่กำกลังโฆษณากันจะมีความสุขหรือไม่ก็เป็นแนวคิดส่วนบุคคล คงไม่อาจจะเปลี่ยนใจใครได้ เห็นด้วยในจุดนั้นครับ
อิสรภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบนั่นล่ะหากเลือกทางเดินทางนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมาเราจะค่อยๆเห็นพร้อมกันในอีกสักสิบยี่สิบปีขข้างหน้าเองครับ
กาลเวลาจะพิสูจน์แนวคิดของเราเอง
ส่วนที่ผมไม่เห็นด้วยคือการที่ท่านคาดการณ์ว่าจะมีอะไรที่พิเศษออกไป จากความที่มนุษย์เป็นมนุษย์นั่นล่ะ
อะไรที่เป็นสิ่งพิเศษที่ทำให้ท่านคิดว่าพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ จะไม่หมุนไปตามที่มันเป็นล่ะครับ?
แนวต่างโลกอาจจะโอเคที่มีเทพเจ้าแปละจอมมารในการทำให้อาจเกิดแนวคิดศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่อาชีพพ่อค้าก็คือพ่อค้าและคนเรายังต้องกินต้องใช้
หากจะเปลี่ยนสังคมมนุษย์ เราก้จำต้องเปลี่ยนพื้นฐานของมนุษย์เองล่ะครับ
กล่าวถึงต่างโลกอาจจะเกินเลยไป
ท่านสังเกตุ อเมริกา ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น..เทียบกับไทยหรือเปล่าครับ?
ท่านบอกได้อย่างมั่นใจไหมว่าเรากำลังเดินไปคนละทาง ไม่ใช่ในเส้นทางที่เป็นทุนนิยม?
อย่าเข้าใจผิด ผมบอกจุดยืนของผมตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นสาย growing pain เติบโตจึงเจ็บปวด
เมื่อจะต้องเกิดความเจ็บปวดในสังคมก็ให้มันเติบโตเร็วที่สุดยังจะดีเสียกว่า
ทุนนิยมและอารยธรรม ทำให้สบายขึ้นในภาพรวม ..แค่ต้องมีชนชั้นที่ทำงานเยี่ยงทาสมากขึ้นเพื่อให้คนโดยรวมสบายมากขึ้นเท่านั้นเองเราอาจะแก้ปัญหานี้ได้ใมในอนาคตโดยเทคโนโลยีเอไอ
แต่การไปถึงจุดนั้นก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาลแะระยะเวลา
ผมคิดว่า การพัฒนาการของประวัติศาสตรื ไม่ใช่เรื่องที่สามารถโต้เถียงกันได้น่ะครับ เหมือนกับท่านจะบอกว่าจะสามารถหยุดไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกน่ะ
ถามว่าทำได้ไหม?
ก็บอกว่าได้ทางทฤษฎี สร้างเครื่องที่ปรับวงโคจรของโลกให้ได้
ถามได้ว่าทำได้ไหมในทางปฏิบัติ?
คงเกลี้ยกล่อมใฝห้ชาวบ้านเอางบประมาณมาทำอย่างนั้นยากและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังมีไม่พอ
การที่ท่านคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของประวัติศาสตร์ก็เหมือนกันล่ะครับ
[quote/]
ทุนนิยม ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิด Black Company นะครับ จริง ๆ Black Company มันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ในทางกลับกัน ระบบทุนนิยมต่างหาก ที่เข้ามาทำลายการมีอยู่ของ Black Company เพราะระบอบทุนนิยม ทำให้การใช้แรงงานทาส กลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย
แต่สิ่งที่ทำให้ Black Company มันยังมีตัวตนอยู่ได้ เพราะ สภาวะทางสังคม ครับ คนเรียนจบ ปี ๆ นึงเป็นแสน แต่ บริษัท ที่เปิดแต่ละปี มีแค่หลักพัน ตำแหน่งงาน มันไม่สัมพันธ์ กับความต้องการ คนก็เลยมักจะทนทำงานไป เพราะถ้าออกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหางานใหม่ได้ไหม บางคนก็กลัวจะถูกด่าว่าไม่มีความอดทน
เรื่องสวัสดิการเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะแนวคิดสังคมนิยมน่ะครับ
คนด่าว่าคอมมิวนิสม์สารพัดแต่มาร์กก็เป็นหนึ่งในพวกแรกๆที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวการรวมกลุ่มและสิทธิแรงงาน
จากการพัฒนาที่ผมว่ามันจะเริ่มมาจากการที่เจ้าของโรงงานเอาเปรียบชาวบ้านและการนองเลือดที่ตามมาจึงจะทำให้มีมาตรการอย่างเป็นรุปร่้างในภายหลังน่ะครับ
ท่านลองนึกภาพความแย่ของดารืกคอมปานีสมัยนี้
แล้วลบองจินตนาการโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นในโลกแหนตาซี ที่ขุนนางยังมองว่าประชาชนเป็นแค่ไพร่ติดที่ดินสิครับ?มันจะเลวร้ายได้แค่ไหนหากเทียบกับปัจจุบัน?
ไม่เถียงเลยครับว่าปัจจุบัน บริษัทมมืดอาจจะยังดีกว่าในภาพรวม
ผมแค่บอกว่าในแฟนตาซี การพัฒนาจะมทำให้เกิดสถานการณ์ประมาณรัสเซียน่ะครับ
[quote/]
ไช่ครับต่างโลกมักอิงยุคกลางที่อำนาจรวมศูนย์พวกตัวเอกที่เอาไฮเทคฯหรือแนวคิดทุนนิยมผมก็ไม่เห็นเรื่องไหนมีปันหานะเพราะเหล่าตัวเอกมันopเหลือเกิน ไอ้ที่มีปัณหามาจากตัวเองล้วนๆเช่นไปอับเกรดโลลิจากคนจนหรือทาสไปเป็็นโลลิไฮเทคฯเป็นต้น
เรื่องนี่น่าสนใจ
ผมว่าอาจจะเป็นเคสที่ต่างไปก็ได้
โลกจริงคนคิดวส่า ราชามันก็คนเหมือนเรา ทำไมเราต้องเอาเงินไปให้พวกนั้นเสวยสุข? รัสเซียเล่ยล่ม
แฟนตาซีหากพิสูจนืได้ว่าเราเก่งกว่าราชาที่มีพรของพระเจ้า ชาวบ้านคงจะเอาชนะลำบาก
หากนึกภาพว่าขุนนางคือคนที่มีเวทยืประมาณหลุยศูนย์สนิท
แน่นอนสถานการณ์จะต่างไปหากคนต่างดลกอย่างไซโตะ จะเผลอติดอาวุธให้กับชาวบ้านด้วยปืนอาก้าหรือบาซูก้าหรือเครื่องบินรบอื่นๆ
นั่นคือประเด็นที่ผมคิดล่ะครับตราบใดที่ขุนนางยังคงคุมกำลัง monopoly of force ทุกอย่างก็โอเคถ้าไซโตะหรือใครไม่มอบอาวุธให้กับชาวบ้านมาฆ่าเมจขุนนางล่ะก็นะ
แบ่งเป็น สองส่วนละกัน
ส่วนแรก (เหมือนกับที่ท่านอื่นพูดนั่นละ) เป็นเจ้าของบริษัท กับเป็นลูกจ้างมันต่างกัน
ส่วนที่สอง อาการโฮมซิก(คิดถึงบ้านเกิด) ยกตัวอย่าง(ที่นึกออกทันทีเลย)ก็Honzuki no Gekokujouที่ต้องไปอยู่ในยุคที่ไม่มีส้วม ขับถ่ายลงกระโถน(แล้วโยนทิ้งทางหน้าต่าง?!)เป็นผมเจออย่างนั้นก็อยากสร้างส้วมขึ้นมาเลยละ(ถึงนางจะสนใจแต่สร้างหนังสือก็เหอะ)
ป.ล.จริงๆถ้าอ้างอิงเรื่องไหนเป็นหลัก ก็น่าจะบอกชื่อเรื่องมาเลยนะครับ ไม่ใช่พูดกว้างๆทำนองนี้ (คือผมไม่ได้อ่านหลายแนวนะครับ เดาไม่ถูกหรอกว่าท่านยกจากเรื่องไหนมาพูด)
เรื่องที่สเกลพลังต่ำๆอย่างลูกสาวดยุกหรือยนายแบงก์จะมีปัยหามากกว่าตามที่ผมคิดน่ะครับ
หลุยศูนย์สนิท หากเมจยังคงอำนาจอยู่หรือมีเทพเจ้ารองรับการปกครองอาจจะปัญหาน้อยกว่า