คืออย่างที่ว่าล่ะครับ
อาจจะเพระาผมมองทุนนิยมจากสายกฎหมายปละปรัชญา ผมมองว่ากฎหมายต่างๆคือกติกา และคนเราจะเคลือ่นไหวไปตามกติกาที่มี
ที่ผมเถียงกับหลายท่านในทางทุนนิยมก็เพระาหากเราดูกันจริงๆทุกอย่างก็เป็นวิทยาศาสตร์
สามารถคำนวณแผนการเดินต่างๆของคนเล่นหมากรุกได้ หากเรารู้กติกาของหมากรุกและแผนการเล่นทีไ่ด้ผลมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
สรุปก็คือ
ทุนนิยมตามชื่อของมัน มันทำให้การเติบโตได้เร็วที่สุด
ข้อนี้ไม่มีใครเถียง
แม้กระทั่งสังคมนิยม
ก็ต้องแปลงร่างสร้างวาทะกรรม
"ท่านเหมาดีเจ็ดส่วน เสียสามส่วน"
เพื่อให้ทำใจอยู่ในระบบทุนนิยมนี้ได้
กลับตัวกลับใจจากการเป้นคอมมิวนิสม์ว่าอย่างนั้น
ปัญหาคือ มองว่า มีการโจมตีคอมมิวนิสม์ว่าเป็นเรื่องของศาสนาอุดมคติ
ผมมองว่าในทางสายทุนนิยมเองก็เช่นกัน มองบางอย่างราวกับศาสนาไปแล้วด้วยซ้ำ
หากเราจะมองอย่างนักกฎหมายหรือนักวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องมองว่ากติกาสร้างเอาไว้เช่นนี้จะเกิดผลอย่างไร สามารถคำนวณได้แม้แต่ตาเดินที่ได้ผลมากที่สุดในเกมส์หมากรุกหรือโกะ
เรากำหนดกติกาไว้อย่างหนึ่งจะทำให้เธุรกิจหนึ่งเจ๊งหรือคงอยู่ต่อไปได้อย่างเห็นได้ชัด
Evergrandeกำลังดัง เท่าที่ผมจับใจความได้คือ
หลายคนโทษรัฐบาลจีนนโยบายสามเส้นแดง
ที่ไม่ให้เงินมาหมุ่นต่อ ธุรกิจก็เจ๊ง
ผมนึกย้อนกลับไปแต่ละคนพูดคล้ายกัน ไม่ว่าวงแชรืป้าเล็กแถวบ้าน ร้านนขายของชำของอาโกวหรือ Evergrande
"ขอเพียงเอาเงินให้เราไม่หักลบกลบหนีั้ให้เราหมุนเงิน เราก็มีกำไรนับพัน/หมื่น/ล้านบาทแล้ว"
เรียกว่าทุกคนเจอปัญหาเดียวกัน
"ตราบใดที่คนยังให้เราหมุนเงิน เราก็ยังไม่เจ๊ง"
ทุกท่านมองว่าอย่างไรบ้างครับ?
นี่คือความเชื่อทางศาสนา"ปรัชญา" หรือแนวคิดที่แต่ละคนที่ทำธุรกิจมีตรงกันหรือเปล่าครับ?
ไม่ว่าจะธุรกิจใหญ่หรือเล็ก?
ไปเจอคำพุดแนว ลงทุนแมนกล่าวประมาณว่า
"อยากพ้นจากหนี้อย่าดูแค่รายรับรายจ่าย ให้ดูที่กระแสเงินสด"
หรือที่ผมพูด ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องที่นักลงทุนคนไหนก็รู้กัน
ถ้าอย่างนั้น มาสุ่คำถามต่อไป
หากเป็นเรื่องที่นักลงทุนคนไหนก็รู้กัน ทำไมถึงมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
หรือมันเป็นอย่างมุกในแนวหนังนักลงทุนโบรกเกอร์พูดจริงๆ
ว่าอยากทำงานเกี่ยวกับการเงินต้องเสพโคเคน เพื่อให้มีสติทำงานต่อไปได้
ว่าเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้เพราะ fairy dust ผงแฟรี่ หรือความเชื่อล้วนๆว่าแฟรี่มีอยู่จริง
หากคนเราไม่เชื่อขึ้นมาเท่าไร แฟรี่ก็จะตายไป เศรษฐกิจก็จะเจ๊ง
ที่พูดในข่าวบ่อยๆว่า "นักลงทุนมีความเชื่อมั่น"
ความหมายแฝงมันคืออย่างนี้หรือเปล่าครับ?
คือหากมองอย่างนี้มันก็เท่ากับว่าตลาดทุนใหญ่อย่างหุ้น หรือตลาดททุนเล็กอย่างแชร์ของแม่เล้กแถวบ้านก็ไม่ต่างกันเท่าไรในแง่ของการดำเนินการ
ที่ต่างไปคือ ตลาดใหญ่กว่าจะมีการหมุนวนมากกว่าจนกว่าจะล้มในที่สุด จากนั้นก็จะแปลงร่างเป็นแชร์แม่เล็กคนใหม่และเปิดตลาดใหม่ วนเวียนไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าหากทุกท่านมองว่าแนวคิดนี้คือเรื่องธรรมดา ก็เรียกว่าน่าสนใจจริงๆครับ
ไปเจอคนแซวไว้อย่างหนึ่งว่า
"หากเจอคนใส่สูทใส่แว่น ออกทีวีมาบอกเราว่าเศรษฐยังดีอยุ่ ตอนนั้นล่ะ ให้เก็บของกลับมาได้เลย"
เรียกว่าหนังม้วนเดิมเหมือนฉายวนกันไปมาว่าอย่างนั้นล่ะครับ