รู้หรือไม่?
เดิมทีเซ็กซ์ของคนไทย มักไร้การ “จูบปาก”
.
ถ้าคนไทยไม่ได้เปิดรับวัฒนธรรมมาจากฝั่งตะวันตก ชีวิตเซ็กซ์ของคนไทยก็คงอาจปราศจากการ “จูบปาก” ต่อไป
.
เซ็กซ์ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่บทรักที่บรรเลงกันอยู่บนเตียง แต่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศในรูปแบบรักโรแมนติกด้วย
.
อ้างอิงจากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 เพราะเนื่องจากวิถีชีวิตคนไทยแต่เดิมนั้นกินหมากกันจนฟันดำ ไม่ใช้แปรงสีฟัน ทำความสะอาดอย่างมากก็ใช้เปลือกหมากหรือไม้ข่อยถูๆ เอา การแสดงความรักโดยการใช้ปากสัมผัสอีกฝ่าย จึงมีแค่การหอมแก้ม หรือจุ๊บปากนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น
.
แต่หลังจากคนไทยเลิกกินหมาก การจูบก็ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะเนื่องจากคนไทยยังมีความเชื่อกับทัศนคติที่ว่าข้างในปากคืออาณาเขตส่วนตัว สกปรก จึงไม่สมควรจะดูดปากแลกลิ้นกัน ซึ่งไม่ต่างจากการถือหัวของผู้ชาย หรือการถือว่าผ้าถุงเป็นของต่ำ
.
ส่วนตัวผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์สมัยเด็ก ที่ได้เจอชาวตะวันตกเขาจูบปากกันในที่สาธารณะแล้วรู้สึกตกใจ หรือเคยได้นั่งดูหนังอเมริกันร่วมกับครอบครัว ที่พอถึงฉากจูบปากทีไร คนรอบข้างที่เป็นผู้ใหญ่มีอายุอานามก็แสดงท่าทาง “ยี้” กันเป็นแถบๆ
.
แต่การที่คนไทยไม่จูบปากนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะวัฒนธรรมอีกครึ่งโลกก็ไม่ได้บรรเลงรักด้วยการจูบปากแต่อย่างใด “William Jankowiak” ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเนวาดา ลาสเวกัส (the University of Nevada Las Vegas) ค้นพบจากการศึกษาวัฒนธรรมจาก 168 ที่ทั่วโลกว่ามีเพียง 46 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการใช้ปากจูบปากเพื่อแสดงความรักเชิงโรแมนติก
.
ในประเทศไทย แม้จะมีเรื่องราวทางเพศจะปรากฏตามภาพจิตรกรรมฝาผนังในนาม “ภาพสังวาส” ของหญิงชายที่กำลังเกี้ยวพาราสี กอดรักฟัดเหวี่ยงจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แต่สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับการจูบในบทบรรเลงรักเหล่านั้นเป็นเพียงแค่การ “หอมแก้ม” เท่านั้น
.
ถ้าไปดูตาม “บทอัศจรรย์” หรือ “ฉากเซ็กซ์” ตามวรรณคดีไทย ก็ยิ่งเห็นชัดว่า คนไทยไม่นับการจูบปากให้อยู่ในเรื่องบนเตียงจริงๆ
.
ในงานวรรณกรรมราชสำนัก ช่วงก่อนจะรับจารีตของประชาชนโดยการใช้ความเปรียบในบทอัศจรรย์ จะมีการกล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศอย่างตรงไปตรงมา
.
เช่น ในเรื่อง “ราชาพิลาป” แต่งขึ้นช่วงราวๆ สมัยรัตนโกสินทร์ ก็มีเพียงประโยค “จุมพิตณนงคริมไร โอษฐคันธกัลยา” ที่หมายถึงการจุมพิษที่ข้างๆ ริมฝีปากเท่านั้น ไม่ได้บดเบียดริมฝีปากกันจะๆ
.
ในบทรักหญิงสองชายหนึ่งในเตียงเดียวอย่างเรื่อง “ลิลิตพระลอ” จะมีประโยค “เชยชมชู้ ‘ปากป้อน’ แสนอมฤตรสข้อน สวาทเคล้าคลึงสมรฯ” ที่ถ้าอ่านแบบไม่รู้ลึกมาก คนสมัยนี้ก็อาจตีความว่ามันคือการจูบปาก แต่แท้จริงแล้ว “ปากป้อน” ที่ว่านี้ หมายถึงการพูดฉะอ้อน พูดเอาใจเท่านั้นเอง
.
ส่วนในเรื่อง “อิเหนาคำฉันท์” แต่งโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็มีประโยค “สองโอษฐเอมอร ตฤบรสรสาสรรพ์” ที่อาจดูเหมือนว่ากำลังบรรยายถึงสองปากที่กำลังอิ่มเอมในรสของกันและกัน แท้จริงก็แล้วก็หมายถึงการที่สองฝ่ายชายหญิงกำลังฉะอ้อน ฉอเลาะแก่กันและกันเท่านั้น
.
การจูบปากในสังคมไทย แม้จะเริ่มมีการเลียนแบบจากวัฒนธรรมฝรั่งในสมัยร. 5 แต่ก็มักทำกันแค่ในวงแคบๆ อย่างคนที่เคยไปเรียนต่างประเทศ และเป็นเพียงเรื่องรโหฐานของคนสองคน
.
อย่างที่เคยยกมาตอนต้นถึงหลักฐานที่ว่ามีวัฒนธรรมเพียงครึ่งหนึ่งของโลกเท่านั้นที่จูบปากกัน ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่วิถีไทยแท้ๆ ไม่ได้รวมการจูบปากอยู่ในบทรัก
.
แต่ก็อาจมีข้อถกเถียงเช่นกันว่าคนไทยสมัยก่อนอาจจะจูบปากกันก็ได้ เพียงแต่ไม่นิยมทำในที่แจ้ง นิยมทำในที่ลับ จนไม่ได้เป็นที่ประจักษ์แก่ธารกำนัล แล้วไม่ได้บันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
อ้างอิง: Silpa-Mag. คนไทยเราเริ่ม “จูบปาก” ตั้งแต่เมื่อใด? .
https://www.silpa-mag.com/culture/article_10799#BBC. The reasons humans started kissing.
https://www.bbc.com/.../20210813-the-reasons-humans...
#รากเหง้าเล่าอนาคต
Seek the origin, Live the localry
#Local #Localry #Thailand #Thai #Culture
https://web.facebook.com/LOCALRY/https://web.facebook.com/OrgasiumComic/