ศาสนาไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนพุทธรึคริส รึอิสลาม
หน้าที่พลเมืองคืออะไรไม่เรียนผลสรุปคือ
พ่อแม่ไม่ว่างวันหยุดก็ขี้เกียจ สรุปไม่สอนเห้อะไรด้านจิตใจ
พ่อแม่เป็นคนใช้ มีหน้าที่เลี้ยงตรู
เพื่อนมีหน้าที่รองรับอารมตรู กฏหมายคืออะไรไม่เคยอ่าน
เข้าๆออกๆสถาน... เพื่อศึกษากฏสังคม เรียนรู้กฏหมายจากการลองผิดลองถูก
แล้วไม่มีอะไรรับประกันนะครับว่าไม่สอนศาสนาแล้วเค้าจะไม่รับลัทธิเข้ามาเชื่อ
ถ้าเรียนรู้มาบ้าง ก็จะไม่เชื่ออะไรที่คิดว่าแย่กว่า
อย่างคนอิสลามบอก พระเจ้าของข้าเทพสุด
ไม่สนพวกรูปปั้น
ส่วนพวกไม่สนศาสนาแล้วเค้าสนอะไร ก็สนตัวเองไง
อย่างสาวที่ไม่สนศีล 5 ฉันมีอิสระจะไปกินเหล้าคั่วผู้ชายได้ทุกคืน
มีผัวก็โกหกผัวว่าไปเที่ยว ขโมยบัตรเครดิทผัวไปรูด
พอผัวเริ่มรู้เรื่องก็วางแผนฆ่าเอาเงิน ไม่โดนจับก็ไม่ผิด
ก็ไม่ได้ว่าคนที่ไม่เรียนศาสนาเลยจะต้องเลวนะ
หรือคนที่เรียนแล้วจะต้องดี
ก็เหมือนฉีดวัคซีน ต่อให้ฉีดไฟเซอร์ก็ติดโควิดได้
แต่โอกาสตายมันก็น้อยลง
เพราะงั้นแน่ใจรึเปล่าว่าพ่อแม่รึครอบครัวจะสอนเด็ก ให้เป็นคนดี
พ่อเป็นโจร ก็จะสอนอะไรให้ลูกล่ะ
[youtube/]
ถ้าพ่อแม่ไม่สอน ครูไม่สอน เด็กก็ลองผิดลองถูกเอง คนที่ลองแล้วถูกก็ดีไป ถ้าไม่ก็นะ
ผู้ใช้กฏหมาย ทำไปก็ไม่ผิดอยู่ละ ถ้าไม่โดนจับ
[youtube/]
ต่อให้ไม่มีศาสนาแต่มนุษย์หลายคนก็พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เนื่องจากมนุษย์นั้นต่อให้ไม่พูดก็มีสิ่งที่เรียกว่า สัญญาประชาคม ที่รู้กันเองอยู่แล้ว
มันเกิดจากความกลัวความพยาบาทของมนุษย์นั่นเอง ถ้าฆ่าก็จะถูกฆ่ากลับได้ ถ้าขมขื่นลูกตัวเองก็อาจจะโดนข่มขืนได้ ถ้าขโมยของคนอื่นตัวเองก็อาจจะโดนขโมยของได้
เพราะความกลัวโดนเอาคืนซักวันนี่แหละมนุษย์ถึงได้สร้างสัญญาประชาคมโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกับชาติพันธุ์ตัวเอง แม้ไม่พูดแต่ก็รู้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งไม่ดี
หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า สำนักกฎหมายฝ่ายธรรมชาติก็ได้ครับ แต่เมือก่อน IR เองก็ไม่ได้รับความนิยม เพราะศาสนากับการเมืองมันแยกออกจากกันไม่ได้โดยเฉพาะตะวันตก
การนับถือศาสนานั้นมีผลต่อสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับเอเชียเหมือนกันครับที่ศาสนาเองก็ส่งผลต่อสถานะในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าใครสังเกตดีๆ
เวลานักการเมืองสมัยก่อนลี้ภัยการเมืองก็คือการหนีไปบวช ใช้ศาสนาเป็นเกราะคุ้มกันตัวเองให้ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง
เพราะถ้าฆ่าพระ นักบวชในสมัยก่อนถือเป็นสิ่งที่โลกสมัยก่อนยอมรับไม่ได้และโทษร้ายแรงถึงที่สุด ดังนั้นมันจึงมีความปลอดภัยระดับหนึ่งเพราะถ้าอีกฝ่ายฆ่าเราอีกฝ่ายก็จะถูกประณามสูญเสียความชอบธรรมไปด้วย
จริงๆ IR พึ่งเกิดมาในยุคหลัง ในยุคที่วิทยาศาสตร์และระบบการเมืองพัฒนาเฟื่องฟูแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นมาแต่แรก
ยกตัวอย่าง ผมมักจะถามหลายคนเสมอว่า คุณมองพระพุทธเจ้าอยู่ในสถานะอะไร? เป็นเทพเจ้าที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพศรัทธา? เป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ต้องกราบไหว้? หรือเป็นเพียงแค่มนุษย์ซึ่งเป็นนักปรัชญาหัวขบถฉีกขนบธรรมเนียมและบริบทสังคมชนชั้นวรรณะของอินเดียในยุคนั้น
ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่ผมเห็นคนส่วนใหญ่ทำก็เป็นเพียงแค่ลัทธิบูชาตัวบุคคลเท่านั้น แต่ถ้าผมหรือ IR คนอื่นจะมองว่าเป็นนักปรัชญาหัวขบถสายมนุษย์นิยมคนหนึ่ง เช่นเดียวกับ โสเครติส ขงจื้อ
ส่วนอิสลามและคริสต์มาจากศาสนายูดาย ซึ่งศาสนายูดายแท้ที่จริงมันคือการปลดแอกชาวยิวจากการเป็นทาสก็เท่านั้นครับ ซึ่งการปลดแอกจากการเป็นทาสนั้นจำเป็นต้องทำให้ชาวยิวมีศรัทธาและมีความเชื่อมั่นเป็นหนึ่งเดียวเพื่อที่จะหนีฝ่าข้ามทะเลแดงในทะเลทรายตั้งแต่อียิปต์มาจนถึงบริเวณปาเลสไตน์
ภาพเส้นทางแผนที่การอพยพของชาวยิวหรือชาวอิสราเอลและเข้าสู่คานาอัน(ดินแดนพันธสัญญา)
ศาสนายูดายอันที่จริงอาจจะกล่าวได้ว่ามันคือ Propaganda อย่างหนึ่งเพื่อสร้างความภาคภูมิใจและขวัญกำลงใจให้ชาวยิวภายใต้การนำของโมเสสหลบหนีมาตั้งรกรากใหม่ได้(มีพาชาวยิวเดินวนในทะเลทรายเล่นด้วย) แต่มันก็เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ดีที่บอกบริบทและการใช้ชีวิตของชาวยิว
ส่วนแผนที่ผมจะอธิบายนะ
1.ชาวอิสราเอลถูกผลักให้อพยพจากอียิปต์
2.หลังจากชาวฮีบรูออกจากสถานที่ตั้งค่ายแห่งแรก, พระเจ้าทรงพำนักอยู่กับพวกเขาในเมฆตอนกลางวันและในเสาเพลิงตอนกลางคืน
3.อิสราเอลผ่านทางทะเลแดง(ตำนานโมเสสแหวกทะเล)
4.พระเจ้าทรงบำบัดผืนน้ำแห่งมาราห์ให้ใสสะอาด(หาน้ำจืด)
5.อิสราเอลตั้งค่ายบริเวณน้ำพุ ๑๒ แห่ง
6.อิสราเอลทำสงครามกับอามาเลข
7.แดนทุรกันดารสีน พระเจ้าทรงส่งมานากับนกคุ่มมาเป็นอาหารแก่อิสราเอล(ล่าสัตว์)
8.ภูเขาซีนาย (ภูเขาโฮเรบหรือเจเบล มูซา) พระเจ้าทรงเปิดเผยพระบัญญัติสิบประการ (โมเสสบัญญัติกฎหมายและรากฐานความเชื่อของชาวยิวเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียว)
9.แดนทุรกันดารซีนาย อิสราเอลสร้างพลับพลา(สร้างฐานที่มั่น)
10.ค่ายในแดนทุรกันดาร เอ็ลเดอร์เจ็ดสิบคนได้รับเรียกให้ช่วยโมเสสปกครองผู้คน(แต่งตั้งและให้ตำแหน่งผู้ติดตามช่วยปกครองคน)
11.เอซีโอนเกเบอร์ อิสราเอลผ่านแผ่นดินแห่งเอซาวและอัมโมนโดยสันติ
12.คาเดช-บาร์เนีย โมเสสส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญาไว้; อิสราเอลกบฏและไม่สามารถเข้าไปในแผ่นดินได้; คาเดชเป็นค่ายใหญ่ของอิสราเอลเป็นเวลาหลายปี (หาทางยืดพื้นที่ที่เป็นดินแดนพันธสัญญา แต่ชาวยิวก็ตีกันเองแย่งอำนาจ)
13.แดนทุรกันดารตะวันออก อิสราเอลหลีกเลี่ยงการพิพาทกับเอโดมและโมอับ
14.แม่น้ำอารโนน อิสราเอลทำลายชาวอาโมไรต์ที่สู้รบกับพวกเขา
15.ภูเขาเนโบ โมเสสมองดูแผ่นดินที่สัญญาไว้ โมเสสกล่าวโอวาทสามเรื่องสุดท้าย(โมเสสตาย อาจจะแก่ชราหรือป่วย)
16.ที่ราบโมอับ พระเจ้ารับสั่งให้อิสราเอลแบ่งแผ่นดินและยึดครองแผ่นดินจากผู้อยู่อาศัยเดิม(ชาวยิวภายใต้ผู้นำคนใหม่บุกยึดดินแดนเพื่อแย่งแหล่งที่อยู่อาศัย)
17.แม่น้ำจอร์แดน อิสราเอลเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนแผ่นดินแห้ง. ใกล้กิลกาล, ชาวอิสราเอลนำศิลาจากก้นแม่น้ำจอร์แดนมาวางไว้เป็นอนุสรณ์ถึงการแยกผืนน้ำจอร์แดน
18.เยรีโค ลูกหลานของอิสราเอลยึดและทำลายเมือง ยึดเมือง(ที่น่าจะเป็นดินแดนในพันธสัญญา หรือก็คือ เยรูซาเล็มในเวลาต่อมา)
อันนี้คือผมเรียบเรียงแบบเป็นกลาง ลดความแฟนตาซีให้น้อยที่สุด ดังนั้นการปลดแอกของโมเสสและการอพยพหนีก็น่าจะประมาณนี้