[quote/]
คุณน่าจะสับสนกับคำอธิบายของผมนัครับ ผมบอกว่าเกาหลีเหนือเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นเผด็จการ ซึ่งไม่ตรงกับที่คุณหาว่าผมว่าคอมมูนิสต์เป็นเผด็จการ
ประชาธิปไตยก็เป็นคอมมิวนิสต์ได้ครับถ้ามีการเลือกตั้ง แต่ปันส่วนรายได้เท่ากันหมด
เผด็จการก็มีเศรษฐกิจเสรีได้
ด้านตรงข้ามประชาธิปไตยคือเผด็จการ ด้านตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์คือหรีมาร์เก็ตครับ
คอมมิวนิสต์คือทุกคนต้องมีรายได้เท่าเทียมกัน ประชาธิปไตยคือ มีการเลือกตั้งผู้นำำ มีการคานอำนาจ นิติบรรยัติ บริหารตุลาการ มีสิทธิเสรีภาพครับ
ซึ่งมันไปด้วยกันได้
ส่วนเคื่องความเท่าเทียมนอกจากเป็นไปไม่ได้จริงการเรียกร้องความเท่าเทียมสุดได้ถ้าได้แล้วมักจะส่งผลเลวร้าย ยกตัวอย่างก็คอมมิวนิสต์นี่แหละ ที่พยายามให้รายได้คนเท่าเทียมกันจนสุดท้ายคนก็ขี้เกียจทำงานจนเศรษฐกิจพัง คนยากจนกันทั้งประเทศ แต่พอปล่อยเศรษฐกิจเสรี ความเหลื่อมล้ำพุ่งสูงแต่ความเป็นอยู่คนกลับดีขึ้น เราจึงควรเลิกสนเรื่องความเท่าเทียมแล้วดันเศรษฐกิตอย่างเดียว พอคนรวมมันเยอะ มันก็ต้องเพิ่มค่าแรงจ้างคนเพื่อแย่งแรงงานกัน คนจนมันก็ดีขึ้นเอง อย่างสิงคโปร์นี่ไม่มีกฎหมายแรงงานขั้นต่ำนะ แต่ค่าแรงก็แพงกว่าเรามาก มีแต่คนอยากไปทำงานสิงคโปร์
ส่วนประเทศที่เน้นความเท่าเทียมถึงไม่เป็นคอมมิวนิสต์ก็เรียกว่าสังคมนิยมเศรษฐกิจก็จะโตต่ำหรือติดลบ อาจจะดีกว่าคอมมี่นิดนึง เช่น ฝรั่งเศส แต่นี่คือรวยแล้วเป็นสังคมนิยม ก็แค่แช่อยู่กับที่ ส่วนประเทศรายได้ปานกลางที่เป็นสังคมนิยมก็มี อาฟริกาใต้ กรีซ เวเน บลาซิลซึ่งพังหมด อาฟริกาไต้กับเวเนเคยรวยกว่าไทยแต่โดนไทยแซงแล้ว และอีกหน่อยไทยจะแซงบลาซิล
ถ้าเช่นนั้นก็เข้าใจตรงกันแล้วครับ แต่ไหนๆพูดเรื่องคอมมิวนิสต์ก็ขอขยายความว่า
คอมมิวนิสต์ที่แท้จริง จะต้องยึดหลักการของคาร์ล มาร์ก 10 ข้อ ของ Communist Manisfesto
มันคือ การทำให้คนเท่ากันโดยบริหารจัดการจากรัฐส่วนกลาง ยกตัวอย่างเช่น
ข้อ 2 จัดเก็บภาษีบุคคลได้ในอัตราก้าวหน้า(ขั้นบันได)
ข้อ 5 รัฐส่วนกลางมีหน้าที่จัดหาระบบขนส่งมวลชนและระบบสื่อสาร
ข้อ 9 ผสมผสานการเกษตรกับอุตสาหกรรมการผลิต ขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองเล็กด้วยการจัดสรรให้ประชากรแต่ละเมืองมีจำนวนประชากรเท่าๆกัน
ซึ่งถ้าสังเกตกันดีๆ ความหมายของคอมมิวนิสต์ คือ อำนาจการบริหารอยู่ที่รัฐบาลส่วนกลาง จากนั้นส่วนกลางเป็นคนออกนโยบายใช้ทั่วประเทศ โดยมองว่าคนรวย Generate รายได้ได้มาก เพราะ ใช้ทรัพยากรมาก เมื่อใช้ทรัพยากรของประเทศมาก นั่นหมายถึง คุณต้องจ่ายภาษี หรือถูกเก็บภาษีมากตามเป็นเงาตามตัว คนที่มีรายได้น้อย เกิดจากใช้ทรัพยากรของประเทศน้อย ดังนั้นจึงเก็บภาษีน้อย
อย่างข้อ 9 นี่ค่อนข้างชัดในหลักการคอมมิวนิสต์ คือ การทำให้คนเท่ากัน โดยบริหารจัดการจากอำนาจรัฐบาลส่วนกลาง โดยมองว่าเมืองไหนมีประชากรมากก็จะมีกำลังผลิตมาก เมืองไหนมีประชากรน้อยก็จะมีกำลังผลิตน้อย มันจะทำให้เกิดการแออัดของประชากรที่คนจากเมืองเล็กจะย้ายถิ่นที่อยู่ไปอยู่เมืองใหญ่ และมันจะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองเล็กมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมืองใหญ่มีงานทำ แต่เมืองเล็กไม่มีงานทำ เนื่องจาก Demand กับ Supply เมืองใหญ่กับเมืองเล็กแตกต่างกัน
ประชาธิปไตย ตรงข้ามกับเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกต้องแล้วครับ
ส่วนแนวคิดคอมมิวนิสต์ไม่ใช่เป็นศัตรูกับตลาดเสรีหรือฟรีมาเก็ต แต่เป็นศัตรูกับทุนนิยมแบบผูกขาดครับ
ตลาดเสรี
≠ ทุนนิยมผูกขาด[/font]
ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ข้อ 3 ขจัดสิทธิในการสืบทอดมรดกถ้ามองว่าคนรวยหรือชนชั้นนำ(ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ ไทยในตอนนี้ก็ได้)มักจะมีธุรกิจที่ได้รับสัมปทานและผูกขาด ที่ผูกมัดไว้กับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ลูกหลานของตระกูลคนรวยจะสบาย เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็จะได้ Passive Income จากธุรกิจสัมปทานผูกขาด ที่ดินจำนวนมากที่ทิ้งร้างไม่ได้ทำประโยชน์หรือปล่อยคนอื่นเช่า ขณะที่ชนชั้นแรงงาน และเกษตกรมีหน้าที่เป็นแรงงานทำงานให้แก่คนรวย ซึ่งในมุมมองแนวคิดของคอมมิวนิสต์ มันจะมองว่าต่อให้ทำงานขยันแทบเป็นแทบตาย ชนชั้นแรงงานและเกษตกรจะไม่มีวันถีบตัวเองให้มีฐานะดีขึ้นไปกว่านี้ได้เลยเพราะชาวนามันจะมีอยู่ 3 ประเภท 1.ชาวนาที่มีที่ดินเอง(อันนี้คือส่วนน้อยย) 2.ชาวนาที่เช่าที่นาของนายทุน 3.ชาวนาที่เป็นลูกจ้างซึ่งถ้าเป็นสมัยยุค Feudalism และปฏิวัติอุตสาหกรรมตอนต้น ชาวนาแบบ 2 และ 3 คือ ทำงานเป็นชาวนาจนวันตาย ทำให้ตายก็จนเหมือนเดิม ยกตัวอย่าง Ashigaru ของญี่ปุ่น หรือ แม้แต่ชาวนาไทยก็เหมือนกัน ไม่ว่าปีนั้นจะผลผลิตดี หรือ ผลผลิตไม่ดี คุณต้องจ่ายค่าเช่าที่นาเท่าเดิมกับอีกข้อ 5 ก่อตั้งธนาคารแห่งชาติ หรือ ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เงินในประเทศถูกควบคุมโดยรัฐ เอกชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของธนาคาร เพราะทุนนิยมผูกขาดส่วนใหญ่(ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม) มักจะเป็นเจ้าของธนาคาร ปล่อยกู้เงินและก็รอกินดอกเบี้ยสบายๆ ขณะที่ลูกหนี้จะต้องทำงานตาเหลือกหาเงินมาใช้หนี้ ซึ่งสมัยก่อนมันไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนกำหนด Limit เรื่องดอกเบี้ย ความหายนะจึงเกิดดังนั้น คอมมิวนิสต์ คือศัตรูของทุนนิยมผูกขาด ไม่ใช่ตลาดเสรี เพราะความหมายตลาดเสรี คือ การทำธุรกิจโดยไม่มีระบบสัมปทาน ขายอยากผลิตเหล้า ผลิตเบียร์ ผลิตบุหรี่ ก็ทำไป ไม่มีใครว่า ไม่ต้องขอใบอนุญาตสัมปทานวุ่นวาย อย่างมากแค่ถูกตรวจสอบโดยองค์กรสิทธิผู้บริโภคก็แค่นั้นถ้าเปรียบเทียบแบบ Boku Acadamia ให้เห็นภาพ
ฟาสซิสต์ คือ All For One ทุกคนทำเพื่อคนๆเดียว คนๆเดียวเป็นอภิสิทธิชน มีสิทธิและอำนาจเหนือทุกอย่าง เป็นสัญลักษณ์ของประเทศคอมมิวนิสต์ คือ One For All รัฐส่วนกลางหนึ่งเดียว จัดการบริหารเพื่อทุกคน
ประชาธิปไตย คือ All For All โดยมีอมตะวาจาที่มักพูดกันว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน"
ทุนนิยมผูกขาด,อนาธิปไตย คือ One For One "ของตนเอง ทำโดยตัวเองและเพื่อตนเอง"