[quote/]
ก็ไม่ได้บังคับให้ทำนะครับ ใครทำหรือไม่ทำก็เป็นสิทธิของท่านเลย ต่อให้โดนข่มขืนจนท้องถ้าแม่เด็กยินยอมให้เก็บเด็กก็บังคับให้ทำแท้งไม่ได้เหมือนกันนะครับ
แต่ปัญหาคือคนที่อยากทำเค้าไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำแบบถูกต้องไงครับ ค่านิยมบาปบุญสายสุดโต่งที่ฝังรากลึกตั้งแต่ระดับรากหญ้ายันดอกเตอร์ ระบบที่เหมือนจะเปิดแต่บุคลากรไม่เปิดตาม สุดท้ายก็ต้องไปหาคลินิคเถื่อนอยู่ดี
กรณีพิการ ผมว่าถ้าท่านลองเปิดใจคุยกับคนพิการจริงๆอาจจะเห็นด้วยนะครับ คนพิการไม่น้อยเค้าไม่อยากเกิดมาหรอกครับ ยิ่งบ้านเรามันสายเหยียด สาธารณูปโภคก็ไม่ค่อยอำนวยให้คนพิการ(เช่น รถเมล์ ในกรุงเทพยังพอมีรถรองรับวิลแชร์ แต่ ตจว.ล่ะ ยังต้องปีนบันไดหรือโหนสองแถวอยู่เลย) พิการทางกายถ้าเก่งๆความสามารถเยอะก็อยู่ได้ แต่ถ้าพิการทางสมองล่ะ??? พ่อแม่ก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ดูแลได้ตลอดชีวิต ส่งไปให้ญาติพี่น้องเค้าก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลอีก ดูแลคนปัญญาอ่อนมันเครียดนะ ต้องเข้าใจคนเลี้ยงด้วยเหมือนกัน
ผมได้บอกเรื่อง slope กระดานลื่นทางความคิดไปรอบหนึ่งแล้วนะครับ
ก็ยังยืนยันตรรกะเดิม ว่าแนวคิดกระดานลื่นนั้นจริง
จนกที่เคยบอกว่า การทำแท้งต้อง rare safe necessity ประมาณว่า ต้องเป็นกรณีที่น้อย ปลอดภัย และจำเป็น
จริงๆ แต่ตอนหลังกลายเป็นเพื่อความสะดวกไปแล้วในด้านความคิด
หากเปรียบเทียบก็คือ ยุคสมัยเปลี่ยนไป
จากสมัยก่อน ต้องอ้างแนวคิดทางการแพทย์ว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องพันธุกรรม
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันมากขึ้น จึงเริ่มมีการออกบทความว่าการเป็นเกย์ไม่เกี่ยวอะไรกับพันธุกรรมอีกต่อไปแล้ว
เริ่มสังเกตแนวคิดที่ต่างไปหรือยังครับ?
ว่าสมัยก่อน มีศีลธรรมขัดขวาง ต้อวทำในเคสที่จำเป็น
ตอนหลังข้ออ้างศีลธรรมหายไป กลายเป็นเพื่อความสะดวกสบายในปัจจุบัน
ตลกร้ายสิ้นดี ที่คนเราหันเข้าหาแนวคิดคัดสรรค์พันธุกรรมและอรรถประโยชน์ในที่สุดจนได้
ยอมรับว่านี่คือสุดปลายของแนวคิด หากมองประโยชน์สังคมในภาพรวม
ไม่ได้เหมาว่าคนที่มีแนวีดคัดสรรพันธุกรรมเป็นนาซี นาซีก็แค่ใช้เป็นเครื่องมือ ให้ได้สังคมตามที่ตนเองต้องการ
แต่ก็ต้องถามว่า ท่านต้องการอย่างนั้นจริงๆหรือ?
ยกตัวอย่าง
การให้ฮอร์โมน เปลี่ยนมาชอบผู้หญิง
จะรู้สึกอย่างไรว่า หากรัฐมีข้ออ้างว่า ท่านตอนนี้ก็เหมือนกับคนเมา หรือ มีสภาพบกพร่องด้วยสารเคมี?
รัฐต้องเข้ามาดูแลท่านโดยให้ฮอร์โมนและสารเคมีให้ท่านกลับมาเป็นปรกติ?
ท่านเาจจะอ้างว่า ตอนนี้ท่านก็ปรกติดีอยู่แล้ว เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่ควรมีใครตัดสินแทนท่าน
รัฐกลับอ้างต่อไปว่า เมื่อท่านมีสภาวะผิดปรกติ เท่ากับว่าคำพูดของท่านไม่มีค่า ให้ฮอร์โมนท่านจนท่านกลับมาสู่ภาวะปรกติอีกครัง ท่านก็จะไม่มีความคิดเช่นนี้อีก
...จะรู้สึกอย่างไรครับ หากเกิดกรณีเช่นนี้?
เมื่อเราไม่เชื่อศีลธรรม วิญญาณ งั้นมาจินตนาการว่าโลกเป็นเอทิสม์เต็มร้อยกัน
คนเป็นแค่เครื่องจักรชีวะ ไม่มีวิญญาณ ดำเนินการด้วยเส้นประสาทและการกระตุ้นด้วยสารเคมี
ความรู้สึกรักชอบพอเกิดจากการต่อเชื่อมของเส้นประสาทและสารเคมี
ก่อให้เกิดความรักใครชอบพอกัน ไม่มีเรื่องของจิตวิญญาณ...ดังนั้น ท่านมีเหตุผลอะไรในการต่อต้านให้วงจรในสมองของท่านชอบผู้หญิง?
ในเมื่อเครื่องจักรชีวะมันรันไม่ถูกต้อง ก็แค่ปรับแต่งสารเคมีและเส้นประสาทเสียใหม่?
แบบเดียวกับที่ชอบพูดว่า การทำแท้งก็แค่การเอากลุ่มก้อนเซลล์ออก
การเป็นเกย์หรือไม่ก็แค่การปรับเส้นวงจรประสาทและสารเคมีเท่านั้นเอง
เราไม่เอาศีลธรรม มาจับ ก็จะต้องมองตามอรรถประโยชน์...ซึ่งผมไม่สบายใจเอามากๆ