ไอ้พวกไปเกิดใหม่ชิวๆที่ต่างโลกของญี่ปุ่นเดียวนี้เลยมีแต่แบบสเกลพลังค่อนข้างจำกัดไง
ต่างกับพวกนิยายจีนที่ไปเกิดใหม่แล้วเจอกับพวกเหนือฟ้ายังมีสวรรค์ไม่จบไม่สิ้นซักที
ถ้าไม่จำกัดสเกลพลังตรรกะปัจจุบันจะเอาไปสู้ชิวๆได้ยังไง
เลยทำให้นิยายญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ค่อนข้างหน้าเบื่อ เพราะมันไปจำกัดเพดานไว้หมดแล้ว
ต่างกับนิยายจีนที่พอพระเอกเก่งจนเว่อเกินไป ก็โละโลกเดิมตัวละครที่ไปต่อไม่ได้ทิ้งซะ
เวลาพระเอกกลับไปโลกเดิมก็ต้องผนึกพลังไว้ไม่งั้นเดี๋ยวมิติเดิมพังหมด
ซึ่งต่างกับนิยายญี่ปุ่นหลายเรื่องที่พลังสเกลเป็นตัวเลขแต่สุดท้ายคนแต่งก็ไม่เคยคำนวนหรอกว่า
status เท่านี้ควรพลังระดับไหน
เอาจริงๆจะเขียนนิยายให้ดูเข้าท่าพยายามอย่าใส่ตัวเลขสเกลพลังเด็ดขาด เพราะเวลาแต่งๆไปหลงแน่ๆ
ลองคิดเล่นๆ เวลาตัวละครระดับแค่เป่าลมเมืองทั้งเมืองก็ปลิวได้
เวลาเอาเมียเป็นคนธรรมดามันจะไปรับแรงได้ยังไง
พวกฝึกพลังเป็นเซียนทั้งหลายเลยมักจะเอาเมียเป็นคนที่ฝึกวิชาด้วยเหมือนกัน
ตามนิยายที่เคยอ่านพระเอกที่มี sex ยาวนานที่สุดแบบไม่มีพักในนิยายถ้าจำไม่ผิดคือเกิน 2 ปี
คือโดนสาวขย่มจนกว่าจะยอมแพ้นั่นแหล่ะ แรกๆพระเอกก็ไม่ยอมแพ้เพราะมีพลังฟืนคืนสภาพระดับจากเหลือแค่หยดเลือดได้
สุดท้ายพระเอกก็ยอมแพ้ไม่ใช่ว่าร่างกายพระเอกไม่ไหว แต่จิตใจมันทนไม่ไหวแล้ว
คือโดนสาวข่มขืนแบบไม่ได้กินไม่ได้นอนขยับตัวไม่ได้ด้วยเล่นท่าเดิมตลอดด้วย
รึเรื่องที่นิยายจีน ฮาเร็มใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นคือ มีเมียหลักล้านคน
เรียกว่าสามัญสำนึกนี่โยนทิ้งไปได้เลยกับสเกลพลังที่ตัวเอกในนิยายจีนสามารถทำได้
น่าสนใจครับ
เดี๋ยวเขียนแนวกามาสุตราในเรื่องมั่งดีกว่า
ให้เนโรเป็น Whore of Babylon ตามตำนานล่ะ
นางมารที่นำการล่มสลายมาสู่โรม
ว่าไปแล้งวเรื่อง sex นี่ก็มีฝรั่งพยายามจะอธิบายแบบมีเหตุผลอีกแล้ว
ว่าข้อดีของมันคือความเพลิดเพลินในการฝึก
อย่างที่บอกว่า่การนั่งบ่มเพาะนั่้นโคตรจะน่าเบื่อ
หากเราสามารถมีเซ็กส์ได้ติดต่อกันสองปี
เท่ากับว่าเราสะสมปราณราคะได้สองปีไม่หยุดยั้ง
มันง่ายกว่าในการสะสมปราณด้วยปราณราคะนี้
[quote/]
ผมว่าการจำกัดพลังที่ดีคือการสร้างการคานอำนาจ การคานอำนาจจะไม่ทำให้คนหนึ่ง OP จนทำอะไรได้ตามใจ
อย่างพรรคมารก็ไม่กล้าอาละวาดมากเพราะมีเส้าหลิน กับ บู๊ตึ้งอยู่ คอยคานอำนาจเอาไว้
ส่วนลึกลงไปอีกในฝ่ายธรรมะ ฝ่ายธรรมะเองก็มีการคานอำนาจกัน เช่น สำนักซงซาน กับ เส้าหลินเองก็อยู่แนวเทือกเขาภูเขาซงซานเหมือนกันแต่คนละยอด
ทั้งสองสำนักก็คานอำนาจด้านอิทธิพลด้านการค้าขาย และธุรกิจคุ้มกันภัย ก็มีการแย่งตลาดกันหรือ Market Share ไม่มีใครสามารถผูกขาดได้
ถ้าเขียนดีๆ นิยายจะสนุกมากๆ เพราะ จะเห็นว่าต่างคนต่างอยากเอาชนะกันด้วยการเล่นสงครามเย็นกันบ้างเพื่อชิงอิทธิพล
แล้วเหตุผลที่ทำไมแต่ละฝ่ายชอบทำสงครามเย็นมากกว่าสู้ตรงๆให้จบไป นั่นก็เพราะถ้าสู้กันเพื่อเอาชนะกันก็เท่ากับทำลายกันและกัน
ต่อให้ชนะมีชัย ก็มีชัยเหนือกองซากเถ้าถ่าน มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ แล้วจะชนะไปทำไม
อำนาจถูกแบ่งได้สามข้อหลักๆ 1.กำลังคน 2.ปัญญา 3.เงินทอง เหมือนกับกระถางธูปสามขา ถ้าขาใดขาหนึ่งหักมันจะเสียสมดุลและล้มไป
และที่สำคัญคือไม่มีหัวหน้าคนไหนที่ฉายเดียว One man Show ทำงานใหญ่สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จล้วนมีทีมที่ดีเป็นของตัวเอง
ลูกน้องที่มีความสามารถ มีความฝันและทัศนคติคล้ายกับเรา และซื่อสัตย์ภักดีกับเราแปรผันตรงกับผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากเรา
เคสหนึ่งที่น่าสนใจคือ
ดูเหมือนบู๊ตึ้งนั้นสนิทกันมากๆในกระบี่เย้ยนี่ล่ะครับ
และจากคำบอกกล่าวที่เห็นในเรื่อง เส้าหลินบู๊ตึ้งก็มีสายสืบบอยู่แต่เราไม่เห็น
ว่าเจ้าอาวาสกับเจ้าสำนึกบู๊ตึ้ง ส่งสายสืบไปสืบดูเองแล้วว่าเหล็งฮู้ชงเชื่อถือได้ ไม่ได้เชื่อข่าวลือ
เรียกว่าอันดับหนึ่งกับสองของยุทธจักรสนิทกันมากกว่าที่คิด
ในเรื่องต่างๆมักหจะออกแนวฝ่ายธัมมะฆ่ากัน หักหลังกัน
แต่เคสเส้าหลินบู๊ตึ้ง ผมจะมองแนว ซูเปอร์แมนกับแบทแมน
ว่าที่เส้าหลินได้รับการเคารพเพราะไม่ค่อยจะยุ่งในยุทธจักรมากนัก
บู๊ตึ้งนับกันจริงๆก็เป็นศิษย์พี่น้องกันแบบเยื้องๆกับเส้าหลิน
อารมณ์ธรรมศาสตร์ก็นับทางหนึ่งก็คืิอแยกมาจากจุฬา
ความเป็นคู่แข่งนั้นมี แต่ความรู้สึกพี่น้องนั้นมีมากกว่าว่าอย่างนั้น
เจ้าอาวาสกับเต้าเจี้ยงเลยปรึกษาหารืออะไรกันบ่อยๆ
อีกอย่างอาจจะเพราะสำนักใหญ่ด้วย ไม่รู้สึกว่าต้องเสี่ยงกับความวุ่นวายเพื่อให้ตนเองใหญ่ไปกว่านี้
ต่างกับพวกพรรคมารหรือสำนักกลางๆที่ต้องการทำตนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม
แนวคิดสำนักใหญ่เลยจะออกแนวอนุรักษ์นิยมมมากกว่า
ต่างกับจ้อแน้เซี้ยงที่อยากรวมสำนักและบุกพรรคมาร
วิธีจำกัดสเกลพลังที่ดีสำหรับผมก็อ้างอิงวิทยาศาสตร์นั่นละครับ ทรัพยากรมีจำกัด อาหาร อากาศมีจำกัด พลังงานไม่สามารุสร้างใหม่ได้ ยิ่งอยากเก่งก็ต้องดัดแปลงร่างหรืออัดทนัพยากรมากขึ้นเรื่อยๆ และก็จะมีข้อจำกัดที่ประสิทธิภาพพลังงาน เทียมก็อ้างอิงระบบของเกมบริหารทรัพยากรเข้ามาด้วย
ผมไปเจอคนฝรั่งวิเคราะห์มาว่า บางครั้งเรารู้ว่าจะก้าวต่ออย่างไร แต่ทรัพยากรมีจำกัดหรือเทคโนนโลยีมีจำกัด
ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเรื่องหลุมดำ
..
ว่าแต่พวกเราจะต่อเรื่ององค์ชายกับถังจับโหงาอย่างไรครับ?
ให้ผมแยกไปเขียนตอนพิเศษที่พวกข่านบางคนแยกไปบุกทางแดนเหนือแบบฮันนิบาลดีเปล่า?
https://www.youtube.com/watch?v=i5v6hPr6L7U"เป็นไปไม่ได้ไม่มีใครบุกมาทางเหนือหรอก เต็มไปด้วยยักษ์และเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อน กว่าจะบุกมาได้ก็คงเสียทหารไปกว่าครึ่ง หากทำได้ก็นับว่าเป็นนักพิชัยสงครามอันดับหนึ่งในโลกนี้แล้ว"
[quote/]
ใช่ครับ อย่างกิมย้งวางต๊กโกวคิ่วป่ายคือที่สุดของที่สุดแล้วครับ คือตัวลิมิตสเกลพลังระดับสูงสุดคือตัวเขา ตัวละครอื่นรวมถึงตัวเอกมันจะลดหลั่นรองๆลงมา
เป็นแค่คนเดียวที่มีเข้าถึงแก่นแท้ของสองสายยุทธ ทั้งกระบวนท่า(เหล่งหูชง) และ ทั้งลมปราณ(เอี้ยก้วย) ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ถ้าถามว่าต๊กโกวคิ่วป่ายเก่งแค่ไหน พลังลมปราณระดับที่ใบไม้ใบหญ้าเป็นอาวุธฆ่าคนได้ และกระบวนท่าระดับไร้กระบวนท่าสร้างสรรค์ท่าใหม่ได้ไม่มีสิ้นสุดข่มทุกวิชาผีมือทุกแขนง
ระดับเอี้ยก้วยลมปราณก็ยังไม่ถึงที่สุด แต่อยู่ในระดับที่สามารถใช้แขนเสื้อซึ่งเป็นอาวุธอ่อนแต่ฟาดแต่ละครั้งรุนแรงเหมือนถูกค้อนปอนด์ทุบ ส่วนเหล็งหูชงก็เหยียบเข้าไปในไร้กระบวนท่าแค่ครึ่งก้าว
สรุปต๊กโกวคิ่วป่ายคือร่างฟิวชั่นระหว่างเอี้ยก้วยกับเหล่งหูชง ที่ต้องอัพเกรดอีกขั้น เฮียแกเก่งเกินจนตรอมใจตายหาคู่ต่อสู้ไม่ได้
แต่การลิมิตพลังเอาไว้มันทำให้ตัวเอกไม่เก่งเร็วเกินไป และใช้หัวคิดเวลาต่อสู้ รู้จักใช้สถานการณ์ เวลาและสถานที่ให้เกิดประโยชน์
ไม่ใช่สักแต่ใช้พลังซัดใส่กันแบบไม่ต้องคิดอะไร ใครพลังเหนือกว่าชนะง่ายๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ การต่อสู้ในกระบี่เย้ยยุทธจักรที่ผมชอบมากที่สุดตอนหนึ่งคือตอนที่เหล่งหูชงสู้กับฉั้งแป๊ะกวงในโรงเตี๊ยมเพื่อช่วยแม่ชีน้อยงี้นิ้ม
พูดหลอกล่อจนมาสู้กันแบบนั่งสู้บนเก้าอี้ และใช้เล่ห์กลเพทุบายเอาชนะฉั้งแป๊ะกวง ทำให้ฉั้งแป๊งกวงแพ้พนันเหล่งหูชงด้วยข้อตกลงที่ระบุเอาไว้ว่าใครลุกก้นออกจากเก้าอี้ก่อนแพ้
ผมชอบตัวเอกประเภทนี้นะ ถึงรู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ก็ใช้สมองงัดทุกวิธีเพื่อเอาชนะ ถ้าเป็นคนอื่นเจอคนเก่งกว่าก็คงจะหนีไปฝึกแล้วค่อยมาตบ แต่บางอย่างอาจจะสายไปแล้ว แม่ชี้น้อยอาจโดนทำมิดีมิร้ายแล้วก็ได้
ในยุคไหนๆ ผมว่าคนอ่านชอบให้ตัวเอกใช้สมองให้มากกว่ากำลังเสมอ
อย่าง Witcher ตัวเอก Geralt of Rivia ก็ได้เดินหน้าฆ่าดะฆ่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่เจอเพื่อแลกกับเงิน
แต่สิ่งที่ Geralt ทำ คือ การให้โอกาสแก่มอนสเตอร์ ถ้าเลือกที่จะไม่ฆ่าได้ เขาก็จะไม่ทำ
อย่างตอนเจ้าหญิง Adda โดนคำสาปกลายเป็นอสูร Striga Witcher คนอื่นนี่คิดแต่จะฆ่า
แต่ Geralt กลับเลือกแก้คำสาป ทั้งที่มันยากกว่า เสี่ยงพลาดง่ายกว่า แต่เขาก็เลือกที่จะทำ
ตอนเจอกับ Sylvan(ใน netflix เรียกว่าชาวป่า) ที่ขโมยผลผลิตการเกษตรของชาวบ้านไปให้พวกเอลฟ์
Geralt ก็ไม่ฆ่า แถมจะปล่อยให้หนีไปด้วยซ้ำแลกกับห้ามขโมยของอะไรอีก
ทั้งสองคนเป็นระดับปรมาจารย์ล่ะครับ
เอี้ยก้วยกับเหล็งฮู้ชงคือคนที่คิดวิชาได้เอง
พวกนี้สติปัญญาเหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันอยู่แล้ว
ต๊กโกวนั้นวิชาไม่ใช่ของคนทั่วไปจะฝึกได้
ว่าไปแล้วเรื่อง ๅGeralt
ผมสันนิษฐานว่าเพราะคนเขียนเป็นชาวโปแลนด์
มีความทรงจำเกี่ยวกัลบสงครามโลกเรื่อง รัสเซียกับบนาซีจะมาบุกประเทศตนเอง
ซึ่งมันก็แปลว่าไม่ควรจะเลือกทั้งสองทางนั่นล่ะ
จำกัด กับกำหนดสเกลพลังไม่เหมือนกันนะ
อย่างโคนันจำกัดสเกลพลังไว้ว่าพลังห้ามสูงเกินแล้วไม่มีเพิ่มละ
แต่อย่างดราก้อนบอล โจโจ้ รึโชเน็นหลายๆเรื่องแนวบู้
จะเป็นกำหนดพลัง กำหนดระดับสกิลตามช่วงของเนื้อเรื่องรึภาคแทน
พวกนิยายรุ่นเก่าอย่าง กิมย้งโกวเล้ง จะสร้างตัวละครที่เก่งสุดๆแทบจะสูงสุดออกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วให้ตัวเอกพัฒนาเพื่อเป็นสุดยอดในตอนจบ
แต่บางทีก็อาจให้เป็นตัวร้ายพัฒนาแทน รึเพิ่มจำนวนพระเอกเพื่อให้ฝึกวิชา
แต่หลายเรื่องสมัยนี้ พลังพระเอกเต็มตั้งแต่ต้นเรื่อง
จะให้บู้กับเบ้แล้วสนุกก็ยากเลยต้องดำเนินเรื่องเป็นสายอื่น
เช่น สืบสวน ตลก การเมือง
ก็ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะถ้าคนเขียนเก่ง แต่ที่มันสนุกไม่ได้มาจากบทบู้เลย
แบบบางเรื่องที่อ่าน ผ่านไปราว 150 ตอน
มีเควสนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่พระเอกทีบู้ราวไม่ถึง 15 ตอน
คือพระเอกเกิดใหม่เป็นนายน้อยแต่ไม่มีฐานสนับสนุนดีๆ
ตอนเลยหมดไปกับหาคนใช้ เทรนคนใช้ หาตัง สร้างกลุ่มนักฆ่า
สร้างฐานลับ การเมือง
พระเอกจะแสดง 1 กระบวนท่า ให้ตัวประกอบพล่ามเกริ่นไป 3 ตอน
แสดงท่าเสร็จ คนตะลึง 1 ตอน วิจารณ์อีก 3 ตอน
แล้วก็โดนสาวรึผู้อวุโสชวนไปคุยเป็นการส่วนตัวอีกเป็น สิบตอน
กลายเป็นเรื่องนี้พระเอกบทบู้แค่เพื่อเปิดตัวทำความรู้จักตัวละครใหม่
แล้วที่เหลือก็พล่าม
แทนที่จะบอกเป็นนิยายกำลังภายใน บอกเป็นนิยายการเมือง
ในโลกยุทธภพดีกว่า
เรียกว่าเรื่องนี้ทนอ่านไปได้ 150 กว่าตอนเพราะแค่อยากรู้
ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนเฟสของเรื่องซักทีวะ ปูเรื่องนานมาก
ผ่านไป 150 ตอน พระเอกได้แค่ชักกระบี่ฆ่าคนแค่ระดับนักเลงเองมั้งถ้าจำไม่ผิด
เรื่องไหนครับ พอแนะนำชื่อได้บ้างไหมครับ?
เท่าที่ผมอ่านก็คลฃ้ายกันยคนเขียนบอกว่า ที่ไม่มีแท็ก action ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พระเอกนายน้อย ต้องรับลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์อย่างเทพมาฝึกวิชาแทน
ว่าไปแล้วก็บรรยายว่า พวกนายน้อยในช่วงทวีปแรกๆน่ะ ตามพรสวรรค์ของพระเอกไม่ทันหรอก
เลยต้องใช้มุกเอาพวกลูกน้องที่ระดับเกิน nascent soul มากระทืบพวกพลังโกงเสียก่อน
แต่คิดอีกทีหากเวลาผ่านไปอีกหน่อย พวกมีพลังแค่ nascent soul ก็ไม่พอสู้กับพวกพระเอกหรอก
แต่จะไปปลุกท่านบรรพบุรุษมาทำงานรับใช้เราเองก็คงไม่ใช่เรื่อง
แนวโกวเล้งมักจะให้พระเอกเก่งอยู่แล้ว
แต่จะดำเนินเรื่องแบบสถานการณ์ในเรื่องมากกว่าพระเอกจะไม่เก่งขึ้น
ว่าไปแล้วต่อให้คนระดับนายน้อยพยายามจะสร้างหน่วยงานมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถสู้กับคนมีพลังโกงได้หรอกหากเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
สัประยุทธทะลุฟ้ามั้ง
ว่าน่าหลันเหยียนหรานที่ถอนหมั้นพระเอก
ก็ได้สำนักใหญ่และยาจากสำนักโอสถสารพัด
พลังเพียวๆยังนำหน้า่พระเอกหลังจากฝึกสามปี
แต่พระเอกมีการปรับร่างกายแข็งแรงกว่าและวิชาเทพกว่าว่าอย่างนั้น
คือสำนักใหญ่ต่างๆนั้นมีวิชาเหนือกว่าคนทั่วไป
แต่มันไม่มีของระดับเว่อๆขี้โม้แบบพระเอกน่ะครับ
เทียบบัญญัติไตรยางค์แล้ว ถ้านายน้อยไม่สามารถอ้อนให้เท่านบรรพบุรุษออกโรงเองได้ตั้งแต่แรก สำนักจะพินาศเอา