ไม่มีศาสนานี่แหละ มีความสุขที่สุดครับ พอผมเลิกนับถือศาสนา มันเหมือนเมฆที่บดบังมันหายไป มองเห็นโลกแห่งความจริงง่ายกว่าเดิม
การมีความรู้จะทำให้เรารู้สึกว่าศาสนามันตลกมากขึ้นน่ะครับยิ่งได้พอเรียนรู้เรื่องศาสนาอื่นๆมากขึ้นมันตลกเข้าไปใหญ่ในหลายๆเรื่อง
[quote/]
อันนี้ ผมจะเล่าเรื่อง ของสงษ์ ที่เคยถกกันนะครับ
ในคำสอน(หลักธรรมของบุดด้า ไม่มีเรื่องพิธีกรรม
และคำพูด (วัจนะ)ก็เคยพูถึงไว้ว่าพิธีกรรมมันไม่ได้จำเป็นต้องทำ อย่างเช่น สวดงานศพนั่นแหละ ดั้งเดิมแล้วมันไม่มี และบุดด้าก็พูดไว้เดี่ยวกับพิธีพวกนี้มันไม่ได้จำเป็น
และไม่ได้มีพิธีสวดศพแบบปัจจุบันด้วย
คำพูดของบุดด้า ก็ถือว่าเป็นคำสอน(ธรรมะ)แบบนึงเช่นกัน
แต่ที่ทำตามเพราะจะขัดกับประเพณีที่ทำกันมานาน
(แต่พวกมึงก็ไม่สอนชาวบ้านว่าพุทธ แต่ดั้งเดิมเขาไม่ทำกัน)
ก็นะ ถ้าชาวบ้านไม่สวดศพ ก็ไม่มี ซอง
เอาไปเผาเชิงตะกอน วัดก็ไม่ได้ค่าเมรุ
จริงๆ เมรุเกิดมาเพื่อการเผาที่มีประสิทธิภาพนะจะโทษก็โทษไม่ได้เต็มปากๆ
ศาสนา มีเรื่องผลประโยชน์เยอะนะ
ถ้าเรายึดมั่นในศาสนา จริงๆ จังๆ ผลมันจะออกมาเปผ้นอีกแบบ เพราะเราจะเข้าใจได้ว่า มันกลายเป็นเครื่องมือปกครอง
ถ้าเอาะวกนึ้ออกหลักปฏิบัติจะเปรี่ยนไปมาก
แต่ใครจะยอม เงินทั้งนั้น
เหมือนพวกโลกแบน บอกว่าNAZAโกหกเพราะได้งบไปเผาเล่น
ผมก็ด่ากลับไปว่าศริสต์แม่งโม้ เพราะยิ่งโม้มากๆยิงได้เงินบริจาค
มันมีมุกหนึ่งที่เล่นกันในศาสนายูดาบคือ
Oral tradition ตามธรรมเนียมปากเปล่า
ที่สายศาสนาอับบราฮัมนั้นโดนแซวว่า
"คนที่อ่านไบเบิ้ลปุ๊บจะเริ่มสงสัยว่าที่สอนกันนั้นมันเอามาจากไหน?"
ไม่ได้โทษว่าเรื่องหมูเท่าไรเพราะหมูนั้นคือสัตว์สกปรกนำโรคภัยจริงๆ
แต่พอเอามาเป็นข้อกำหนดทางศาสนามันเลยเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
ผมบอกเลยว่าชาดกไม่ได้เกิดสมัยบุดด้าแน่นอนหลายๆเรื่องมีชื่อคนแต่งและวันทีาแต่งด้วยซ้ำ อย่างคำว่าไวดุจกามนิจหนุ่มที่เอามาจากชาดกแม่งแต่งโดยคาร์ล พุทธนะถูกสังคายานาหลังบุดด้าตายแม่ง มันแค่เอาคำสอนของบุดด้าที่พวกแม่งจำได้มารวมกัน แถมการสังคายานาที่เราได้มาจริงๆแม่งเป็นพันปีหลังบุดด้าตาย ไอ้ชาดกคือเรื่องแต่งที่หลังโดยสาวกบุดด้าแม่งจะมีเวลามาแต่งเรื่องเป็นพันๆเรื่องที่ไหน แค่เดินทางไปกระทืบวัดอื่นๆแย่งลูกศิษย์ก็ไม่มีเวลาแล้ว ไหนจะการเมืองการปกครองที่ต้องจัดการเมืองต่างๆอีก
ที่แย่กว่าคือเล่นมุกว่าพระอานนนท์จำได้ด้วยน่ะครับ
ว่าทางเทคนิคเราไม่มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรตั้งแต่แรก
อาศัยความทรงจำของพระอานนท์เอาล้วนๆ
เอาขี้ปากคนดังมา ศาสนาแปลว่าทางรอด คำถามคือรอดจากอะไร? รอดด้วยวิธีไหน? อันนี้ต่างหากที่ควรจะเป็นสิ่งที่คนเราใช้เลือกว่าจะนับถือศาสนาไหน ไม่ใช่ว่านับถือพุทธเพราะตามที่บ้าน หรือต้องปฏิบัติตามพิธีกรรมแม้ว่าไม่ชอบเพราะเขา?บอกมา ที่กลุ่มไม่มีศาสนาชอบมีปัญหากับเรื่องพวกนี้
อย่างผมนับถือพุทธเพราะว่าลองไปดูศาสนาอื่นแล้วมันไม่ตอบโจทย์ของผม อย่างคำถามที่ว่าเกิดมายังไง-ตายแล้วไปไหน มีแต่พุทธที่ตอบว่าเกิดเพราะตาย ตายแล้วเกิดวนเวียนเป็นวงจร แต่ตอนเกิดเป็นคนเนี่ยศาสนาพุทธมีวิธีปฏิบัติให้ตายแล้วไม่เกิดได้ แปลว่ายังมีทางรอดให้ชีวิต สามารถหยุดวงจรนี้ได้ (ซึ่งตลกมากที่มีคนบอกว่าพุทธเข้าใจยาก เป้าหมายมีหนึ่งเดียวโคตรชัดเจน ปัญหาคือตายแล้วเกิด พระพุทธเจ้าก็บอกทางแก้ให้ตายแล้วไม่เกิด จบ!!! )
ส่วนศาสนาอื่นส่วนใหญ่จะตอบว่าให้ศรัทธาในสักสิ่ง แล้วพอตายก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะไปทันที (เช่น พราหมณ์ ตายแล้วกลับไปรวมกับพระพรหม) หรือตายแล้วรอสิ่งนั้นสักที่ก่อนไป (เช่น คริสกับอิสลามรอวันพิพากษา แม้กระทั่งวาลฮาลาของไวกิ้ง) แปลว่าอะไร? แปลว่าสิ่งที่เราศรัทธาให้เรามาเกิด ใช้ชีวิตดิ้นรนลำบากเล่นๆ สุดท้ายพอตายแล้วก็จบ ชาติหน้าไม่มี แล้วจะใช้ชีวิตไปทำไม? ทำยังไงก็ไม่รอด จริงๆ ผมอยากรู้ด้วยว่ากลุ่มที่บอกว่าไม่มีศาสนาเนี่ยตอบคำถามนี้ยังไง? เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าไหม? ตายแล้วจบหรือไม่? ถ้าจบทำไมไม่ใช้ชีวิตให้สุดโต่งไปเลย? ถ้าไม่จบแล้วจะทำยังไงต่อ? ต้องยอมทนโดนกระทำอยู่ในวงจรเนี้ยเรอะ?
คำถามคือ
จากสมการของศาสนาพุทธ
เราอยู่ในศาสนาพุทธจะตายอนาถไปหลายสิบโกฎชาติดั่งเม็ดทรายในมหาสมุทรครับ
ส่วนพระเจ้าไปอยู่แบบนิรันดร์บนสรวงสวรรค์
ส่วนศาสนาพุทธมองว่านิรันดร์บนสวรรค์ไม่มีจริงต่อให้อยู่เป็นแสนล้านปี สวงรรค์ก็ต้องล่มสลาย
พระพุทธเจ้าสามารถปราบผกาพรมหร์ที่ครองสวรรค์ได้ว่าอย่างนั้น
ผมกลับมาที่เดิมคือ
อำนาจครับ
พระพุทธเจ้าเล่นมุกแบบเดียวกับพระเยซูว่าอาณาจักรบนโลกไม่ยั่งยืน
แต่ต่างไปตรงที่พระพุทธเจ้าบอกว่าสวรรค์ก็ไม่ยั่งยืนเท่านั้นเอง
ปัญหาคือเรายังเคึลียร์เควสต์ว่าสวรรค์มีจริงได้หรือไม่ยังไม่ได้เลยครับอย่าว่าแต่พิสูจน์ว่าสวรรค์ยั่งยืนจริงหรือไม่?
มีมุกศาสนาคริสต์นี่ล่ะครับที่แซวกันเองในหมู่ชาวคริสต์ใช้กับคนที่คิดว่า
"นับถือไปก่อนดีกว่าพระเจ้าไม่มีจริงแล้วตกนรก"
คนที่คิดเช่นนี้จะไปตื่นในนรกและเจอกับพวกเทวทูตถือไม้แหลมง่ามกล่าวว่า"คิดว่าพระเจ้าจตะโดนหลอกได้ด้วยความคิดแบบนั้นหรือ?"
ก็ชาวคริสต์แซวกันเองว่าเราควรจะศรัทธาจริงๆอย่าศรัทธาแบบเชือ่ครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั่นล่ะครับ
งั้น ผมยก1ในคำพูดของบุดด้านะ
บุดด้ากล่าวไว้ว่าธรรมะของท่านมีโครตเยอะ จะให้ทำทุกอย่างก็ใช่ที่
ขอแค่เข้าใจสักเรื่อง ใช้ประโยชน์ได้ ก็ถือว่าดีแล้ว
มาลองอ่านไตรปิฏกฉับสังฆานารอบที่เท่าไรไม่ทราบ
เปิดจั่วหัวมาก็ใส่มาเลยว่าธรรมะของบุดด้าคือเรื่องจริงทั้งหมดและไม่มีส่วนใดขัดแย้งกันเลย
นึกในใจใข่เหรอวะ สึด
[quote/]
อย่างที่เล่า พิธีกรรม ต่างๆ เป็นความเชื่องที่มีพลังมากกับใจของคน บุดด้า รู้เลยไม่ได้ห้ามเด็ดขาด จะท ำก็ทำไป แต่ไม่ขัดกับหลักธรรมก็พอ
หรือ อย่างเรื่องมนตราคาถา จำไม่ผิด ในประวัติ ตอนโรคห่าระบาด บัดด้าให้าคาถา กับน้ำมนมนต์กับอานนทเอาไปสวดพรมรอบเมือง ให้ชาวบ้านสวดมนต้มน้ำกิน
ซึ่งมันก็ถูกหลัก นะอหิวามากับน้ำ ถ้าต้มน้ำฆ่าเชื้อระวังๆ ก็ไม่ติดง่ายๆ แต่ถ้าบอกชาวบ้านไป คนมันจะเข้าใจเรอะ
พอบอกให้สวดมนต์เอาน้ำไปต้มก่อนกินใช้ กันโรคได้ เชื่อกันใหญ่
ศาสนามันก็เครื่องมือควบคุมคนดีๆ ถ้าใช้เป็น ปัญหาคือมันใช้ยาก ถ้าคนเสือก ฉลาดกันเยอะ
ไตรปิฏกมันแก้มาหลายรอบนี่ดิ
เรื่องจริงทั้งหมด สมบูรณ์ไม่แสามารถเพิ่มหรือแก้ไขได้แม้ประโยคเดียว
นักบุญคนหนึ่งของชาวคริสต์ก็เล่นมุกนี้กับไบเบิ้ลเหมือนกันครับผม
มันมามุกเดียวในศาสนาที่นับถือคัมภีร์
พวกเขาจะเริ่มรู้ตัวว่าหากให้ชาวบ้านอ่านคัมภีร์เองได้เกิดความวุ่นวายขึ้นแน่การอ่านคัมภีร์เลยต้องผ่านพระนักบวชเท่านั้น
[quote/] จริงครับเพราะคำว่าศรัทธาจะทำให้เรามองไม่เห็นข้อเสียของสิ่งนั้นๆ
ป.ล ผมก็ไม่เคยนับถือศาสนามาตั้งแต่เด็กๆแล้วละครับ ตอนเด็กๆเรียนวิชาเกี่ยวกับศาสนาก็เถียงกับครูแบบหัวชนฝาเรื่องที่พระเวสสันดรบริจาคลูกให้กับชูชก ว่าเป็นพ่อที่แย่เอามากๆ ผลที่ได้เจอครูหักคะแนนจิตพิสัย(ฮา)
เราเจอการอธิบายของกัณหาชาลี ปกป้องพ่อต่อหน้าขุนนางที่หลังน่ะครับในการพยายามแถให้การกระทำทางศาสนาพอจะเข้ากันได้กับศีลธรรมของยุคปัจจุบัน
ว่าพ้นคำครหา อะไรเทือกนี้เหตุผลจนบัดนี้ผมก้ยังไม่เข้าใจ
ว่าหากคิดว่าพระเวสสันดรทำดีแล้วเอ้งจะไปซ่อนในสระบัวตั้งแต่ตอนแรกทำไม?