อย่าไปเทียบกับคิริสึกุเลยน่าจะดีกว่า เพราะรายนี้ประสบการณ์ต่อสู้ล้นปรี่มาก พวกเสือกระดาษอย่างเคย์เนธจะไปสุ้ด้วยได้ไง
ซึ่งผมชอบความคิดของคิริสึกุมากตรงที่ว่า "ทำไมเราจะต้องไปสู้บนเวทีที่อีกฝ่ายถนัดละ" นี่มันคือการฆ่ากันไม่มีกฏกติกา
อยู่แล้ว ก็สู้ในแบบที่เราได้เปรียบที่สุดดีกว่า
จริงอยู่ว่าวงจรเวทย์จะสืบทอดต่อกันมาแล้วจะแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่นัน้ขึ้นกับลูกหลานด้วยว่าจะพัฒนามันมั้ย วงจรเวทย์
มันก้เหมือนการค้นคว้าวิชาเวทมนต์ที่ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ลูกหลานก็ไม่ต้องไปเริ่มจาก 0 แค่ต่อยอดไปสูงขึ้นเรื่อยๆแต่ไม่ได้
หมายความว่ามันจะเก่งกว่าตระกูลใหม่ๆได้ อย่างคิริสึกุนี่ถ้าได้วงจรเวทย์จากพ่อมาเต็มๆละก็ จะน่ากลัวกว่าเคย์เนธในฐานะ
นักเวทย์ด้วยซ้ำไป
[quote/]
จากที่ท่านผ่านพวกบอร์ดต่างประเทศมาคงเคยพบกลุ่มแฟนบางกลุ่ม พวกชอบวิจารณ์กันในสไตล์นักวิทยาศาสตร์น่ะครับ
ที่มองว่านักเวทย์เหมือนกับนักวิทย์ที่ทำการทดลอง และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องหนึ่งเแพาะด้านที่ทำมาตลอดหลายร้อยปีในวงศ์ตรกูล ทำให้คนธรรมดาไม่สามารถเทียบกันได้หากทดลองมาเป็นเวลาน้อยกว่า
แต่ผมยังมองว่าพวกนี้ก็มองไม่รอบคอบเหมือนกัน ที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ต้องลืมว่า คนเชี่ยวชาญในสาขาหนึ่ง ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ เพราะความรู้ที่ตนศึกษานั้นศึกษาแบบ"ลึก" ไม่ใช่แบบ"กว้าง" ทำให้อาจผิดพลาดในการประเมิณได้
เคสเวเบอร์คือผมมองว่า เวเบอร์พยายามมองหาวิธีที่ไม่ใช่วิธีการที่เคยใช้กันมาก่อนน่ะครับ และผมถึงบอกว่าเวเบอร์ไม่ใช่คนธรรมดาเพราะเป็นคนที่ฉลาดมากและมีความคิดสร้างสรรค์มากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์นักเวทย์
เรื่อง บู๊ ผมว่าโทคิโอมินั้นเก่งน่ะครับ แต่ผมยังให้ภา๊คิเรย์ดีกว่าเพราะแกผ่านด่านฝึกของโบสถ์มาได้ กับจิ้มข้างหลังด้วย
ผมตีความว่า โทคิโอมิเก่งแต่ขาดประสบการณ์ในการสู้จริง สัญชาตญาณไม่เท่าคิเรย์ที่บู๊กับพวกเหนือมนุษย์มาแล้ว
[quote/]
นั่นล่ะครับ ผมมองว่าถ้านักเวทย์เป็นแนวนักวิย์ที่ชอบทดลองจริงๆ ควรจะเปิดใจมากกว่านั้นในการมองเรื่องการศึกษาค้นคว้าวิชาเวทย์
ถูกอย่างที่ท่านว่าครับคือวิชาที่ศึกษาทุกอย่าง ต้องมีคนที่เก่งกว่าเบิกแนวทางมาก่อนเราทั้งนั้น เรายืนอยู่บนบ่าของยักษ์ตามแบบที่สุภาษิตว่าไว้
[quote/]
ตามเนื้อเรื่อง เคย์เนธ แกก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตามากคนหนึ่งนะครับ แนวความคิดที่แกค้นคว้าได้ก้มีเพียบ เป็นลอร์ดคนหนึ่ง ตัวปรอทที่แกใช้ก็เป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่ง
หากมองในมุมปัจจุบันก็เหมือนกับ เด็ก ป.ตรีคนหนึ่งเสนอวิทยานิพนธ์งัดข้อกับสตีเฟ่น ฮอคิงล่ะครับ
แต่คิริสึงุที่ผมบอกไว้คือ ไม่ใช่คนธรรมดานะครับ มีความคิดสร้างสรรค์ ประสบการณ์และทักษะที่ไม่ได้อยู่ในระดับคนธรรมดา
ยิ่งตรงข้ามเลยละครับ สำหรับตระกูลเก่าๆน่ะยิ่งต้องการความคิดใหม่ๆ แบบเวเวอร์มากที่สุดเลยเวลาที่ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
แต่เคย์เนธน่ะหยิ่งเกินไป(อาจจะเพราะมันยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวด้วยละนะ) ถ้าให้เปรียบกับพวกนักวิทย์ยิ่งวิจัยนานเท่าไร
ก็จะยิ่งสร้างกรอบให้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น จนเริ่มพัฒนาไม่ได้เพราะกรอบที่ตัวเองวางเอาไว้ และเชื่อว่าไม่ควรล้ำออกไป
ในเวลาแบบนั้นจึงต้องการคนที่เดินนอกกรอบของตัวเอง แล้วชี้ผลลัพธ์ใหม่ที่จะขยายกรอบของตนได้ แต่ส่วนมากจะหยิ่ง
เพราะถือว่าตัวเองวิจัยมานานกว่า กรอบที่บอกว่าข้ามออกคนที่ออกไปก็จะเรียกว่านอกรีต แล้วถ้าทำได้ก็จะไม่ยอมรับ
ทำให้ตัวเองดักดานอยู่แบบนั้น เชื่อเถอะว่าถ้าเคย์เนธอยู่เห็นเวเวอรืในอนาคต ถ้าไม่ขอโทษก็ต้องไม่ยอมรับแน่นอน
อย่างเวเวอร์นี้ถ้าเคย์เนธไม่สบประมาทเค้า แล้วรับมาคิดพิจารณาตระกูลของเคย์เนธจะไปได้ดีกว่านีอีกมาก เหมือนที่
น้องสาวเคย์เนธยังยอมรับแล้วให้เวเวอร์มาเป็นรุ่นสองเพื่อชดใช้ให้กับเธอและตระกูล(แต่จริงๆเหมือนเธอจะถูกใจเป็นการ
ส่วนตัวมากกว่าแค่อ้างเหตุผลดึงตัวมาเท่านั้น เวเวอร์ก็ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนให้อาจารย์ตายอย่างหมาแบบนั้นเหมือนกัน
ก็เลยยอมรับแต่โดยดีทั้งๆที่เกลียดชื่อนี้จะตายไป)