[quote/]
ก่อนอื่นเพื่อจะเรียงลำดับหัวข้อสำคัญผมว่าเราควรจะวิเคราะห์มันเสียใหม่ ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะได้เป็น; 1. วางแผนชีวิตมายังไง ถึงได้มีวิธีบ่นแบบอดอยากไม่เคยฟุ่มเฟือยเลยสักครั้ง?
2. ไม่อยากชำระหนี้ทำงานเพิ่มก็ไม่น่าสนใจ แต่ทำไมถึงไม่กลัวเจ้าหนี้คนอื่นจะตำหนิเอาบ้าง? ท่าทางหารเรื่องขี้เกียจแบบไม่เหตุผลเลย
บทวิเคราะห์หัวข้อของท่าน; ผ่านมาราว 15 ปีแล้วเห็นจะได้ว่าเคยได้อ่านจากเว็บไหนไม่รู้ จำได้แค่ว่าไม่ใช้ pantip แน่ เล่ากันประมาณว่า "หนังสือสอนรวยไม่ได้จริงเสมอไป แล้วก็ไม่ได้เปิดโอกาสแก่คนอยากมีรายได้ไปทุกครั้งด้วย แต่เพราะมีคนอยากได้ --> เป็นเหมือนคนแต่ง มันก็เลยทำให้คนแต่งนั่นแหละจะรวยเพราะคนหลงเชื่อไม่รู้จักเอาเวลาอ่านหนังสือไร้สาระหลายชั่วโมง ไปทำมาหากิน ดังนั้นแล้วถ้าคนรวยจริงก็ไม่มีหนังสือมาบอกเคล็ดลับหรอก"
อธิบายโดยขอยก ปรัชญา(ลัทธิ)เศรษฐกิจพอเพียงมาขยายความเพิ่มเติมอีกหน่อย; แนวคิดเป็น Loop ไร้สาระและขัดแย้งพวกหัวธุรกิจและการค้าพอสมควร แต่ก็เหมือนจะช่วยให้ชาวบ้านหลังสังกะสีลุกขึ้นยืนได้จริง กล่าวโดยรวมก็คือ เป็นหลักการทำให้ชาวบ้านมีกินปลูกใช้สัตว์เลี้ยงและผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งความพอเพียงนี่แหละหากตีความด้วยความหมายเดิมๆ = ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อได้แม้ไม่มีเงินสักแดง
พอลองมาเทียบอีก 2 Model ง่ายๆจะเห็นความแตกต่างทันทีครับ; ปลูกกล้วย (นิยมสำหรับพื้นที่เพาะปลูกน้อย หรือเกษตรกรฝึกหัด)รอบที่ดินเล็ก --> ขยายหน่อทั่วทั้งที่ดิน --> เลี้ยงไก่หรือสัตว์ปีกที่ถ่ายมูลเรี่ยราดทั้งปี --> เก็บไข่ / ส่งขายพันธุ์เนื้อ + เก็บใบไม้ที่ได้จากต้นใหญ่แล้วฝังดินหรือทำถังปุ๋ย = จะได้ปุ๋ยให้เก็บเรื่อยๆ และอาจจะมีผลผลิตมากพอให้กินจนส่งออกขายบางโอกาส แล้วก็มีเวลาลองปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ยากขึ้นๆไปในตัว
อีก Model นักธุรกิจและแรงงานที่มีรายได้ประจำนิยมกันมากพอสมควร; ไม่แตะต้องเงินเดือนของตัวเองอย่างเด็ดขาด + ทำบัญชีรายรับ - จ่าย + เหลือเท่าไรก็อาจจะเก็บเป็นรายจ่ายของเดือนถัดไป + เมื่อลบจากค่าอาหารทั้งทำเอง หรือกับข้าวตามสั่ง ทำความสะอาดเสื้อผ้า หรืออาจจะมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวและรถขนส่งสาธารณะ ค่าน้ำกับค่าไฟ หักภาษีทุกเดือน แน่นอนว่าอาจจะไม่คงที่จึงต้องคิดค่าเฉลี่ยเอาเอง แล้วพบว่ามีเงินเหลือก็เอามาหักต่างหากเป็นเงินกองทุนส่วนกลาง + พิจารณาความจำเป็นเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและอุปกรณ์ครัวเสียหาย ส่งเงินทุนสนับสนุนกลับไปให้ทางบ้านนิดหน่อย กรณีเป็นตระกูลเกษตรกรรมหรือธุรกิจขนาดเล็ก + หมดแล้วจึงจะได้เงินฟุ่มเฟือย หรือเรียกติดปากว่า "ค่าขนม"
จากนี้มันจะเป็นหนทางเลือกของพวกเขาเองว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเงินทุนก้อนไม่ใหญ่มาก; สมัยซัก 45 ปีก่อนบอกกันว่า ลืมเรื่องแต่งงานเอาให้แก่ตายไปข้าง ถึงจะมีกันได้ก็ปลาย 20 ยังไม่บ่นขึ้นคานซักคน + ซื้อบ้านส่วนตัวสักหลัง + พัฒนาบ้านเก่าของตัวเองให้ทันสมัยและน่าอยู่กว่าเดิม + หากมีกำลังและคิดการใหญ่คือจะหาทางทำธุรกิจที่บ้านตัวเอง บางคนก็ซื่อสัตย์ในผืนนาของครอบครัว - ตระกูลที่ช่วยส่งเสียพวกเขาเรียนจบได้ เลยอยากทำให้เจริญยิ่งๆไปกว่าเดิม + เที่ยวเล็กน้อยมากๆเพื่อเป็นกำลังใจความอุตสาหะ + และ Loop ต่อไปสำหรับผู้สร้างตระกูลและบุตรหลานพวกเขา
โดยส่วนตัวแล้ว; ผมว่าแนวคิดญาติท่านมันออกจะแย้งกันเองแบบแปลกๆนะ ไม่อยากมีหนี้แล้วก็ไม่อยากทำงานหนักเกินตัว มันน่าจะ = เกือบจะทางโลกไม่สนเงิน หรือทรัพย์สินอีกต่อไปแล้ว ทำไมพวกท่านถึงไม่คิดให้ดีไปบวชหรือเป็นมนุษย์ถ้ำอะไรสักอย่างนะงง?
เขาถือคติ เมื่อเงินเดือนขึ้นเดี๋ยวก็พอใช้เอง....
โดยไม่ดูว่าเงินตัวเองที่ใช้ในแต่ละเดือนมันเกินเงินเดือนที่จะเพิ่มขึ้นไปหลายปีเลย
คือพูดง่ายๆ อีก 5 ปีเงินเดือนก็ยังเพิ่มไม่ถึงรายจ่ายต่อเดือนเขาเลย
ที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะที่อยู่ฟรี ข้าวฟรี ค่าเลี้ยงดูลูกมีคนช่วย
ที่ทำงานอยู่บ้านนอก ปั่นจักรยานไปทำงานยังได้
ระยะทางปั่นไม่เกิน 15 นาที
มอไซต์ก็ได้ แต่ไม่เอา ต้องรถยนต์
ขับแค่ไปกลับที่ทำงาน ค่าน้ำมันค่าดูแล ค่าเสื่อมนู่นนี่นั่น
แล้วก็บ่นไม่มีตัง
ไม่ใช่เขาไม่สนเงิน แต่ไม่ชอบหาเงินมากกว่า
คือชอบใช้ให้หมดยังกับเกลียดเงิน ได้มาไม่เก็บ
แล้วมีทัศนคติว่าเก็บไปทำไมให้โง่
มรดกที่ดินที่มีคือยังไม่เป็นมรดกเพราะพ่อแม่ยังอยู่
ก็รบเร้าให้ขายๆไปให้หมดแล้วเอาเงินมาใช้ดีกว่า
คือพ่อแม่เขาไม่ขายเพราะได้เงินไปให้ลูกเดี๋ยวหายหมดเขาก็กลัว
แบบลูกไม่มีเงินเก็บ เวลาชีวิตมีปัญหาเกิดเหตุไม่คาดฝัน
พ่อแม่ยังมีทรัพย์สินเหลือก็ช่วยเหลือได้
แต่ถ้าให้ลูกหมดแล้ววันหน้ามีปัญหาต้องใช้เงินจะหาจากไหน
คือคนที่กล่าวถึงมีครอบครัวแล้วนะ อายุ40+
มีลูกอยู่มัธยมละ แต่ยังคิดว่าเงินเดือนที่เพิ่มจะชนะรายจ่ายที่จะเพิ่มตามอายุลูก
นี่ขนาดข้าวฟรีนะแบบครอบครัวมีนาข้าว เดี๋ยวลูกเข้ามหาลัยรายจ่ายกระโดดแน่ๆ
แต่รายจ่ายต่อเดือนเขายังติดลบอยู่เลย ในระดับ
จนลูกเข้ามหาลัย เงินเดือนเขาก็น่าจะยังขึ้นไม่ถึงรายจ่ายตอนนี้เลย
ส่วนที่เกินนี่คือขอตังจากพ่อแม่ 2 ฝั่งผัวเมียมาเพิ่มเลยอยู่ได้
แต่เป็นข้าราชการบำนานทั้ง 2 ฝั่ง
พอตายเงินก็หายหมดแล้ว
แล้วถ้าเค้าถ้าเทียบเฉลี่ยๆอายุขัย ช่วงลูกเขาเข้ามหาลัย
ฝั่งปู่ย่า ตายาย ก็น่าจะเริ่มเสียชีวิตแล้ว
แปลว่ารายได้น่าจะลดลงในช่วงค่าใช้จ่ายจะพุ่ง
ไปเตือนๆก็ดูจะไม่สนใจ สงสัยกะจะขายมรดกทันทีที่ได้เลยไม่กลัว