อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 202-203 ของสงคราม Part 1 1. หลังจากทำการปลดแอกดินแดนส่วนใหญ่ของจังหวัดคาร์คิฟ (Kharkiv Oblast) ได้ไม่นาน เค้าลางของสถานการณ์อันเหมือนฝันร้ายดูจะกลับมาหลอกหลอนชาวยูเครนอีกครั้ง เมื่อรายงานของการพบศพพลเมืองยูเครนในคาร์คิฟที่ถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซียเริ่มปรากฏขึ้นมาบนหน้าสื่อ รวมถึงการพบหลักฐานการทรมานและทารุณกรรมชาวยูเครนที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซียด้วย
ในวันที่ 7 ก.ย. มีรายงานจากกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟว่าพลเมืองยูเครนกลุ่มหนึ่งในเมืองบาลาคลียา (Balakliia) ได้ค้นพบหลุมฝังศพของพลเมืองชาวยูเครน 2 ราย ที่ถูกยิงสังหารโดยทหารรัสเซียขณะทั้งสองกำลังเดินทางผ่านจุดตรวจการณ์ของทหารรัสเซีย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ย. หรือ 2 วันก่อนกองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากเมืองหลังการเคลื่อนทัพเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วโดยฝ่ายยูเครน
นายเซอร์ฮีย์ โบลวินอฟ (Serhiy Bolvinov) สารวัตรสอบสวนกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟ ได้รายงานเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่าทางกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟได้ค้นพบศพพลเมืองสัญชาติยูเครนจำนวน 2 รายมีร่องรอยการถูกยิงเสียชีวิตและร่องรอยการถูกทรมานโดยการเฉือนตัดใบหูทั้งสองข้าง ในเมืองฮราโคฟ (Hrakove) เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดคาร์คิฟซึ่งตั้งอยู่บริเวณแนวหน้าของการรบระหว่างกองทัพยูเครนและรัสเซีย จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าบุคคลทั้งสองถูกทรมานและสังหารโดยทหารรัสเซียตั้งแต่เดือนมีนาคม ก่อนที่ทหารรัสเซียจะทำการข่มขู่-บังคับให้พลเมืองยูเครนอีกรายหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการฝังศพบุคคลทั้งสอง
ต่อมาในวันที่ 12 ก.ย. นายโบลวินอฟได้แถลงข่าวการค้นพบเพิ่มเติม ว่าทางกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟได้ค้นพบศพพลเมืองสัญชาติยูเครนจำนวน 4 รายพร้อมร่องรอยการถูกยิงเสียชีวิตโดยทหารรัสเซีย ในเมืองซาลิสนีชเน่ (Zaliznychne) ทางตะวันออกของเมืองฮราโคฟ โดยมี 2 รายที่ถูกสังหารตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. หรือช่วงสัปดาห์แรกของการรุกรานของรัสเซีย ก่อนที่พลเมืองยูเครนในพื้นที่จะนำศพของทั้งสี่ไปทำการฝังเอาไว้ชั่วคราว
ต่อมาในวันที่ 13 ก.ย. นายโบลวินอฟได้แถลงข่าวการค้นพบเพิ่มเติมอีกว่า ทางกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟได้ค้นพบร่องรอยของทหารรัสเซียภายในสำนักงานตำรวจเมืองบาลาคลียา และพบว่าทางกองทัพรัสเซียได้ใช้พื้นที่ของสำนักงานตำรวจเป็นคุกคุมขังและทรมานประชาชนในพื้นที่ รายงานการสืบสวนเบื้องต้นพบว่าตลอดระยะเวลาการถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียเป็นเวลากว่า 7 เดือน มีพลเมืองยูเครนอย่างน้อย 40 รายที่ถูกส่งตัวไปทรมานภายในสำนักงานตำรวจบาลาคลียาที่ทหารรัสเซียควบคุมอยู่
รายงานที่เปิดเผยออกมาเหล่านี้เป็นแค่การค้นพบเบื้องต้นโดยฝ่ายสืบสวนของยูเครนเท่านั้น คาดว่าเมื่อเวลาผ่านไป ตัวเลขของเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทรมานร่างกาย การข่มขืน และการสังหารโหดพลเรือนยูเครนโดยทหารรัสเซียในคาร์คิฟจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย
2. สำนักข่าว “เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล” (The Wall Street Journal) รายงานข่าวเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลยูเครนได้ส่งสัญญาณขออาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนชุดใหม่จากรัฐบาลสหรัฐ เพื่อเตรียมการสำหรับสงครามที่จะยาวนานไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย และเพื่อเตรียมการสำหรับแผนการรุกครั้งใหม่ของยูเครน หลังจากที่กองทัพยูเครนประสบชัยชนะอย่างงดงามในการรุกโต้กลับที่คาร์คิฟ (Kharkiv Counteroffensive)
รายงานข่าวจาก “เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล” ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่ไม่เปิดเผยนาม พบว่ายูเครนได้ยื่นรายการเรียกร้องขอการสนับสนุนอาวุธชุดใหม่จากสหรัฐจำนวนกว่า 29 รายการ ซึ่งประกอบไปด้วยปืนใหญ่ หุ่นโดรน รถถัง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำรุ่น “ฮาร์พูน” (Harpoon) เพิ่มเติม และจรวดนำวิถีสำหรับเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น M142 HIMARS และ M270 MLRS เพิ่มเติมอีก 2,000 ลูก ซึ่งรวมถึงจรวดขีปนาวุธทางยุทธวิธีรุ่น MGM-140 ATACMS ระยะยิงไกลกว่า 300 ก.ม. ด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พลเอกวาเลอร์รี ซาลุจนี (General Valerii Zaluzhnyi) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและประธานคณะเสนาธิการทหารแห่งยูเครน กับนายมิไคโล ซาบรอดสกี้ (Mykhailo Zabrodskyi) รองประธานคณะกรรมาธิการกลาโหม ข่าวกรอง และความมั่นคงแห่งชาติประจำรัฐสภายูเครน และอดีตนายทหารเกษียณราชการ ได้ร่วมกันเขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์ของสงครามรัสเซีย-ยูเครนลงสำนักข่าว “ยูเครนอินฟอร์ม” (Ukrinform) เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา ในชื่อบทความว่า
“โอกาสในการวางแผนปฏิบัติการทางทหารในปี 2023 ในมุมมองของยูเครน” (Prospects for running a military campaign in 2023: Ukraine’s perspective) ซึ่งในบทความดังกล่าว ทั้งสองยอมรับว่ามีโอกาสสูงมากที่สงครามจะยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย และกล่าวว่ายูเครนมีความเสียเปรียบรัสเซียในแง่ของอาวุธระยะไกล เนื่องจากรัสเซียยังคงมีจรวดขีปนาวุธและจรวดร่อนระยะยิงไกลหลายพันกิโลเมตรในการใช้งานอยู่มาก เพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อยูเครนได้ และกล่าวว่าสหรัฐควรส่งมอบจรวดขีปนาวุธทางยุทธวิธีรุ่น MGM-140 ATACMS ซึ่งมีระยะยิงไกลถึง 300 ก.ม. ให้แก่ยูเครน เพื่อช่วยให้ยูเครนมีขีดความสามารถในการโจมตีระยะไกลได้มากเพียงพอต่อการตอบโต้ฝ่ายรัสเซีย
ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวการเรียกร้องขออาวุธชุดใหม่จากยูเครน แต่จากรายงานของ “ซีเอ็นเอ็น” (CNN) เป็นไปได้ว่าสหรัฐอาจจะเริ่มดำเนินการพิจารณาคำขอชุดใหม่จากยูเครนแล้ว โดย “ซีเอ็นเอ็น” ได้รายงานว่าทางคณะกรรมาธิการกองทัพประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีกำหนดการประชุมเรื่องสถานการณ์ในยูเครนภายในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะมีกำหนดการประชุมในหัวเรื่องเดียวกันภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าหนึ่งในหัวข้อการประชุมจะเป็นเรื่องการพิจารณาข้อเรียกร้องด้านอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมของยูเครน รวมถึงการพิจารณาอนุมัติงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับยูเครนชุดใหม่ภายสภาคองเกรสด้วย
ที่มา: