ผมขอตอบท่าน nosta ในข้อ 4 ก่อนละกัน ถ้าตอบทั้งหมดทีเดียวข้อความมันจะยาวเกินไป
4. “หลอกให้ยูเครนเข้านาโต้” นี่มันเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียเท่านั้นครับ เป็น False Narrative ที่พยายามผลักดันความผิดไปให้สหรัฐเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่พูดถึงความผิดของรัสเซียเลยแม้แต่น้อย
4.1 ยูเครนเป็นประเทศเอกราช มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง การที่ยูเครนจะเข้า-ไม่เข้านาโต้เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของรัฐบาลยูเครน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซียเลย
4.2 การจะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ได้ ต้องได้รับการอนุมัติจากชาติสมาชิกนาโต้ทั้งหมดโดยพร้อมเพรียง และนับตั้งแต่ยูเครนยื่นเรื่องอยากเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ตั้งแต่ยุค 2000 ต้นๆ ประเทศในยุโรป โดยหลักคือเยอรมนี ซึ่งมุ่งเน้นนโยบายผูกมิตรกับรัสเซีย ก็ปฏิเสธการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต้มาโดยตลอด ทั้งสหรัฐ (ในสมัยของ ปธน.บุช) และยูเครนตัดใจจากการผลักดันให้ยูเครนเข้านาโต้ตั้งแต่ปี 2008 แล้ว สหรัฐสมัย ปธน.โอบามาก็เริ่มหันมาดำเนินนโยบายผูกมิตรกับชาติคู่อริในอดีต ทั้งรัสเซีย คิวบา อิหร่าน ส่วนยูเครนก็เปลี่ยนไปสนใจการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแทนไปแล้ว
4.3 “ถ้าตะวันตกต้องการให้ยูเครนแข็งแกร่งเจริญจริง ก็ควรส่งเงินช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแต่แรก ชวนเข้าสหภาพยุโรปแต่แรก ไม่ควรชวนมาเข้านาโต้เพื่อเป็นชนวนสงคราม” อย่างที่บอกไปในข้อ 2 ทั้งยูเครนและสหรัฐตัดใจเรื่องนาโต้ไปตั้งแต่ปี 2008 แล้ว และยูเครนก็เปลี่ยนมาพยายามเข้าหาสหภาพยุโรปแทน และนั่นคือสิ่งที่รัสเซียพยายามขัดขวาง ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วในโพสต์เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ตามด้านล่างนี้เลย
กรณีของไครเมียนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหรัฐเลยครับ สาเหตุจริงๆ ที่รัสเซียส่งกำลังทหารเข้ายึดไครเมีย รวมทั้งให้การสนับสนุนกบฏแบ่งแยกดินแดนในดอนบาส เพราะตอนนั้นเกิดการปฏิวัติไมดัน (Maidan Revolution) ขึ้นในยูเครนต่างหากครับ
ถามว่าไมดันคืออะไร ต้องย้อนความไปในปี 2010 นายวิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดียูเครน ยานูโควิชนั้นเป็นประธานาธิบดีสายกลางเอียงรัสเซีย เขาสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการเจรจาการค้าระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรป เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวยูเครนให้ดีขึ้นกว่าเก่า ต่อมาในเดือนมีนาคมปี 2012 เขาเริ่มต้นการเจรจาการค้าระหว่างยูเครนกับ EU มีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อยกระดับประเทศให้ได้มาตรฐานผ่านเกณฑ์ของ EU ปรากฏว่านับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2013 เป็นต้นมา รัสเซียเริ่มเดินเกมกดดันยูเครนโดยการยกเลิกการนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากยูเครน ส่งผลให้เศรษฐกิจยูเครนเริ่มย่ำแย่ (รัสเซียตอนนั้นเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของยูเครน)
กระทั่งวันที่ 21 พ.ย. 2013 ขณะที่ยูเครนและสหภาพยุโรปกำลังจะเซ็นลงนามในข้อตกลงสมาคมยูเครน-สหภาพยุโรป (European Union-Ukraine Association Agreement) ภายในอีก 8 วัน ยานูโควิชกลับประกาศยกเลิกการเซ็นลงนามกลางคัน ให้เหตุผลว่าสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นของยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับชาติสมาชิก CIS กำลังย่ำแย่ลง (กลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียตที่มีรัสเซียเป็นแกนนำ) จึงสมควรเลื่อนการเซ็นลงนามข้อตกลงการค้ากับ EU ออกไปก่อน
แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ประชาชนยูเครนและสหภาพยุโรปไม่พอใจเป็นอย่างมาก ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงหน้าจัตุรัสเสรีภาพ (ไมดัน (Maidan) ในชื่อเล่นภาษายูเครน) ขณะที่สหภาพยุโรปประท้วงว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจหักลำกลางคันของยานูโควิช ซึ่งปูตินเองก็เคยพูดไว้ด้วยตนเองเมื่อวันที่ 26 พ.ย. หรือสามวันหลังการชุมนุมประท้วงว่าข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างยูเครนกับ EU นั้นเป็น “ภัยคุกคามใหญ่ต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย”
สุดท้ายการเจรจาระหว่าง EU กับยูเครนก็ยืดเยื้อออกไป หนำซ้ำรัฐบาลของยานูโควิชกลับใช้มาตรการที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในการปราบปรามผู้ประท้วง ทั้งการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม การทำร้ายนักข่าว การทำร้ายผู้บาดเจ็บ กระทั่งการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุม ทำให้กระแสต่อต้านรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายก็เปลี่ยนจากเดิมที่ต้องให้รัฐบาลรื้อฟื้นข้อลงกับยุโรปโดยเร็ว กลายเป็นการขับไล่รัฐบาลลงจากตำแหน่งแทน (ลองดูสารคดี Winter on Fire ในยูทูปได้ครับ จะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เกิดการประท้วง)
กระทั่งวันที่ 22 ก.พ. 2014 รัฐสภายูเครนมีมติเสียงข้างมาก 338 เสียง (จากสมาชิกทั้งหมด 447 คน) ลงมติไม่ไว้วางใจยานูโควิช พร้อมกับประกาศให้ยุบรัฐบาลเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ อย่างไรก็ดี ยานูโควิชอ้างว่าการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดไว้ว่าคะแนนเสียงจะต้องไม่น้อยกว่า 348 เสียง จึงจะมีผลบังคับใช้จริง (ซึ่งยานูโควิชและปูตินจะใช้เรื่องดังกล่าวมาอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครนเป็นการรัฐประหาร ไม่ใช่การปฏิวัติจากประชาชน) แต่แทนที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวมาต่อสู้ ภายในคืนวันนั้นยานูโควิชกลับตัดสินใจลี้ภัยไปยังรัสเซีย เท่ากับว่ารัฐบาลของเขาได้ล่มลง และเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ขึ้นมาจริงๆ
หลังจากนั้นเพียงแค่สัปดาห์เดียว วันที่ 27 ก.พ. ปูตินได้ตัดสินใจส่งทหารเข้ายึดดินแดนไครเมียโดยทันที อาศัยข้ออ้างว่าทหารเหล่านี้ไม่ใช่ทหารรัสเซีย เนื่องจากไม่มีตราสัญลักษณ์ทหารรัสเซียบนเสื้อผ้า (แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดคือของกองทัพรัสเซียนะ) และเป็นแค่กลุ่มติดอาวุธชาวไครเมียเท่านั้น จากนั้นในเดือนต่อมา กองทัพรัสเซียจัดให้มีการลงประชามติในไครเมียในวันที่ 16 มี.ค. ซึ่งมีผลให้ไครเมียได้รับเอกราชจากยูเครน แต่เนื่องจากการลงประชามติดังกล่าวกระทำขึ้นภายใต้การควบคุมจากกองทัพรัสเซียและไม่มีผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติ อีกทั้งยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภายูเครน จึงไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นการลงประชามติที่โปร่งใสและชอบธรรม และนำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบันครับ
ฉะนั้นก็ต้องถามว่า สรุปแล้วใครกันแน่ครับที่ไม่ต้องการให้ยูเครนเจริญ ระหว่างยุโรปที่พยายามชวนยูเครนมาเซ็นสัญญาการค้าจนเกือบจะบรรลุข้อตกลงอยู่แล้ว กับรัสเซียที่เลือกส่งทหารมายึดดินแดนยูเครน แถมยังปลุกปั่นกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในยูเครนอีก เพียงเพราะกลัวว่าการที่ยูเครนจะไปค้าขายเสรีกับสหภาพยุโรป
(เน้นย้ำว่าค้าขายกับยุโรปเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาโต้หรือสหรัฐเลยสักนิด) จะเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของรัสเซียเท่านั้น
4.4 “แพ้ก็ต้องอยู่ใต้รัสเซีย ชนะก็อยู่ใต้อเมริกาใช้หนี้ยันเหลนบวช” ถ้าท่านต้องเลือกระหว่างให้ประเทศของตนสิ้นชาติสิ้นเอกราช วัฒนธรรมถูกล้างบาง ประชาชนถูกกลืนกิน ประวัติศาสตร์ถูกลบ และประชาชนถูกสังหารหมู่ กับยอมเป็นหนี้เพื่อหาโอกาสต่อสู้รักษาเอกราช วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และประชาชนของตนเอง หาโอกาสที่จะพลิกฟื้นกลับมาให้ยิ่งใหญ่และเจริญกว่าเดิม เป็นท่านจะเลือกตัวเลือกข้อไหนครับ
และการที่ประเทศเป็นหนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ประเทศล่มจม หากรัฐบาลที่บริหารประเทศฉลาดเพียงพอก็สามารถบริหารหนี้ เลื่อนเวลาการผ่อนชำระหนี้ออกไปได้ ขอแค่ยังแสดงความสามารถให้เห็นว่าประเทศของตนยังมีความสามารถในการชดใช้หนี้ได้ก็เพียงพอ อย่างสหราชอาณาจักรพึ่งจะชดใช้หนี้จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้สหรัฐจนหมดเมื่อปี 2006 หรือเยอรมนีก็พึ่งจะชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจากสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สำเร็จเมื่อปี 2010 นี้เอง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ชวนให้เชื่อได้ว่ากรณีของยูเคนจะแตกต่างไปจากทั้งสองประเทศที่กล่าวมา
4.5 ท่านกล่าวว่ารัสเซีย
“โดนใส่ร้าย” เช่นนั้นผมก็คัดค้านว่ามีหลักฐานมากมายทั้งปากคำสัมภาษณ์ สภาพแวดล้อม ภาพถ่ายดาวเทียม รายงานจากผู้สื่อข่าว
(ทั้งจากยูเครน ชาติตะวันตก และแม้แต่จากรัสเซีย) ต่างชี้ให้เห็นว่ารัสเซียพยายามทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยูเครน พยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมเพื่อลบล้างวัฒนธรรมยูเครน ทำการขโมยธัญพืชจากโกดังเก็บธัญพืชของยูเครน ทำการขโมยโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมของยูเครน ตั้งใจสร้างวิกฤติขาดแคลนอาหารในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเพื่อกดดันชาติตะวันตก สามารถค้นหาดูได้ไม่ยาก แต่ถ้าท่านเชื่อว่าฝ่ายรัสเซียถูกใส่ร้ายจริง เช่นนั้นผมจะไม่ขอสนทนากับท่านในประเด็นนี้อีก เพราะท่านเลือกจะเชื่อฝ่ายรัสเซีย ในขณะที่ผมเลือกจะไม่เชื่อ เกรงว่าถกเถียงเรื่องนี้ไปคงไม่เกิดประโยชน์