อัพเดตข่าวยูเครน วันที่ 178 ของสงคราม Part 11. ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารชุดใหม่ที่สหรัฐจะส่งมอบให้แก่ยูเครน ใกล้เคียงกับข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้าไม่กี่วัน มูลค่าทั้งหมดของแพ็กเกจครั้งนี้เท่ากับ 775 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (27,600 ล้านบาท) น้อยกว่าข่าวลือในตอนแรกที่คาดการณ์ว่าแพ็กเกจชุดนี้จะมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (28,500 ล้านบาท) โดยงบประมาณทั้งหมดจะมาจากอำนาจการเบิกถอนตามคำสั่งประธานาธิบดี (Presidential Drawdown Authority) ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐสามารถทำการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในคลังของกองทัพสหรัฐให้แก่ชาติพันธมิตรได้ตามความเหมาะสม รายละเอียดของแพ็กเกจประกอบไปด้วย
1.1 จรวดนำวิถีเพิ่มเติมสำหรับเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง M142 HIMARS
(คาดว่าจะเป็นรุ่น M31 ระยะยิง 80 กม. ที่สหรัฐมอบให้ยูเครนก่อนหน้านี้)1.2 ปืนใหญ่วิถีโค้งขนาด 105 ม.ม. จำนวน 16 กระบอก และกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 ม.ม. จำนวน 36,000 นัด
(ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นปืนใหญ่รุ่นใด อาจเป็นได้ตั้งแต่รุ่น M101 จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง M102 จากยุคสงครามเวียดนาม หรือ M119 จากช่วงปลายยุคสงครามเย็น)1.3 โดรนลาดตระเวนขนาดเล็กรุ่น ScanEagle จำนวน 15 ลำ
1.4 รถหุ้มเกราะต้านทานทุ่นระเบิดและซุ่มโจมตี (MRAP) รุ่น M1224 MaxxPro จำนวน 40 คัน พร้อมด้วยชุดกวาดทุ่นระเบิด
1.5 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ (ARM) รุ่น AGM-88 HARM เพิ่มเติมให้แก่กองทัพอากาศยูเครน
(สำหรับใช้ค้นหาและทำลายเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศของรัสเซีย)1.6 รถฮัมวีหุ้มเกราะ (Armored HMMWV) จำนวน 50 คัน
1.7 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านรถถัง (ATGM) รุ่น BGM-71 TOW จำนวน 1,500 ระบบ
1.8 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านรถถัง (ATGM) รุ่น FGM-148 Javelin จำนวน 1,000 ระบบ
1.9 กระสุนต่อต้านยานเกราะ จำนวน 2,000 นัด
(สำหรับใช้งานกับปืนต่อต้านรถถังที่ยูเครนได้รับไปก่อนหน้านี้ เช่นปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) ตระกูล Carl Gustaf จากสวีเดน แคนาดา และสหรัฐ) 1.10 สิ่งของอื่นๆ ได้แก่อุปกรณ์เก็บกู้วัตถุระเบิด ระเบิดแสวงเครื่อง อุปกรณ์สื่อสาร กล้องมองกลางคืน กล้องตรวจจับความร้อน เลเซอร์ชี้เป้า กล้องติดปืน และอื่นๆ
หากนับรวมแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารชุดล่าสุดด้วย จะทำให้นับตั้งแต่นายโจ ไบเดนขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2021 จนถึงปัจจุบัน สหรัฐได้ส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารให้แก่ยูเครน รวมมูลค่าทั้งหมด 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (378,500 ล้านบาท) หรือถ้าหากนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีคาบสมุทรไครเมียและภูมิภาคดอนบาสขึ้นในปี 2014 มูลค่าความช่วยเหลือทางทหารที่สหรัฐมอบให้ยูเครนทั้งหมดจะเท่ากับ 12,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (450,000 ล้านบาท)
บทวิเคราะห์ส่วนตัว มีหลายสิ่งที่น่าสนใจทีเดียวในแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารครั้งนี้ของสหรัฐ เช่นสหรัฐได้ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้ทำการจัดส่งมิสไซล์รุ่น AGM-88 HARM ให้แก่ยูเครน หลังจากที่เคยออกมายอมรับแบบอ้อมๆ ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาได้จัดส่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ (ARM) ให้แก่ยูเครน แต่ในครั้งนั้นสหรัฐไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่ามิสไซล์ ARM ที่พวกเขาส่งให้ยูเครนนั้นเป็นรุ่นใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐยังได้กล่าวอีกว่าพวกเขาได้ประกาศว่าทำการจัดส่งมิสไซล์รุ่น AGM-88 HARM ให้แก่ยูเครนไปแล้ว เพียงแต่ในครั้งนั้นพวกเขาระบุไว้แค่ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “อุปกรณ์ต่อต้านเรดาร์” เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาประกาศโดยตรงว่าได้ทำการจัดส่ง HARM ให้กองทัพยูเครน เป็นการบอกใบ้โดยนัยว่ามีอุปกรณ์และอาวุธหลายอย่างที่สหรัฐได้ส่งมอบให้ยูเครน หรืออาจส่งมอบให้ยูเครนในอนาคตโดยไม่ได้ประกาศออกมาโดยตรง
นอกจากนี้ สหรัฐยังได้ทำการจัดส่งรถหุ้มเกราะต้านทานทุ่นระเบิดและซุ่มโจมตีหรือ MRAP ให้แก่ยูเครนเป็นครั้งแรก ซึ่งยานพาหนะ MRAP นั้นมีความสามารถในการต้านทานต่อแรงระเบิดจากกับระเบิดได้ดีกว่า มีเกราะที่หนากว่า และสามารถบรรทุกทหารได้มากกว่ารถยนต์ทหารทั่วไป เช่นรถฮัมวีที่สหรัฐจัดส่งให้แก่ยูเครน ทำให้มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในแนวหน้าที่มีการปะทะกันค่อนข้างรุนแรง เมื่อรวมกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ตุรกีกำลังดำเนินการจัดส่งรถ MRAP ของตนให้แก่ยูเครนจำนวนกว่า 200 คัน เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ายูเครนกำลังเตรียมการสำหรับการรุกใหญ่กับรัสเซียทำให้มีความต้องการยานพาหนะที่สมบุกสมบัน สามารถทนทานต่อการโจมตีและแรงระเบิดต่างๆ ได้ดีในแนวหน้า เป็นไปได้สูงว่าเราจะได้เห็นชาติตะวันตกทำการจัดส่งรถ MRAP ของตนให้แก่ยูเครนมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะสหรัฐที่มีการใช้งานรถ MRAP ในปริมาณมากในช่วงสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอิรักและอัฟกานิสถาน
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือสหรัฐได้ทำการจัดส่งมิสไซล์ต่อต้านรถถัง (ATGM) รุ่น BGM-71 TOW ให้แก่ยูเครนเป็นครั้งแรก ความแตกต่างชัดเจนของมิสไซล์ TOW กับมิสไซล์ต่อต้านรถถังอื่นๆ เช่น Javelin หรือ NLAW คือ TOW ซึ่งเป็นมิสไซล์ยุคเก่าตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามนั้นใช้ระบบ Manual ในการชี้เป้ามิสไซล์ นั่นคือผู้ยิงจะต้องควบคุมทิศทางของมิสไซล์ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นระบบนำวิถีที่ทำงานได้อิสระด้วยตัวมันเองแบบมิสไซล์ยุคใหม่ อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่เทอะทะ ไม่สามารถพกพาประทับบ่าได้เหมือน Javelin และ NLAW การที่สหรัฐจัดส่ง TOW ให้แก่ยูเครน มีความเป็นไปได้อยู่ 3 ข้อ คือ
1) เพื่อทดแทนมิสไซล์ต่อต้านรถถังรุ่น Stugna-P ที่พัฒนาขึ้นเองโดยเอกชนของยูเครนและถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในสงคราม เป็นไปได้ว่าปริมาณมิสไซล์ Stugna-P นั้นเริ่มใกล้หมดคลังสำรอง และ/หรืออัตราการผลิตทดแทนนั้นไม่รวดเร็วเพียงพอต่อความต้องการของทหารในสนามรบ สหรัฐจึงเข้ามาอุดช่องว่างดังกล่าวด้วยการจัดส่งมิสไซล์ TOW ของตนซึ่งมีระบบการทำงานคล้ายคลึงกันให้แก่ยูเครน
2) เพื่อทดแทนมิสไซล์ต่อต้านรถถังสมัยใหม่ของชาติตะวันตก เช่น Javelin หรือ NLAW ซึ่งอาจมีปริมาณที่น้อยลงจนเริ่มใกล้หมดคลังสำรอง และ/หรืออัตราการผลิตทดแทนนั้นไม่รวดเร็วเพียงพอต่อความต้องการทั้งของกองทัพชาติตะวันตกและของยูเครน ทำให้ต้องมีการจัดหามิสไซล์ต่อต้านรถถังรุ่นเก่ามอบให้แก่ยูเครนก่อนเพื่อขัดตาทัพ
3) เพื่อการใช้งานในเชิงการป้องกัน/ดัดแปลง มิสไซล์ต่อต้านรถถังที่ชาติตะวันตกมอบให้แก่ยูเครนจำนวนมากเป็นมิสไซล์ประทับบ่ายิง (Shoulder-Fired Missile) ซึ่งเหมาะสมแก่การใช้งานในเชิงรุกมากกว่าเนื่องจากความคล่องตัวสูงในการใช้งาน ขณะที่มิสไซล์ TOW นั้น เช่นเดียวกับ Stugna-P ของยูเครน จัดเป็นอาวุธประจำที่ (Stationary Weapon) ที่มาพร้อมกับขาตั้งยิง ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในเชิงป้องกันพื้นที่ มากกว่าในการรุกคืบเข้าตีข้าศึก และสามารถทำการดัดแปลงเพื่อติดตั้งให้เข้ากับยานพาหนะต่างๆ ได้ เช่นยานเกราะลำเลียงพล M113 หรือรถฮัมวีหุ้มเกราะ ที่สหรัฐได้จัดหาและส่งมอบให้แก่ยูเครนแล้วจำนวนหลายร้อยคัน หรือแม้แต่ยานพาหนะทั่วไปเช่นรถกระบะสำหรับทหารอาสาหรือกองกำลังรักษาดินแดนของยูเครนได้อีกด้วย
ที่มา: