Volt ต่ำกว่า กระแสต้องสูงกว่า 2เท่า สมัยก่อนเราใช้ระบบไฟฟ้าแรงดัน ๑๑๐ โวลท์ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น ๒๒๐ โวลท์จนทุกวันนี้ และเปลี่ยนเมื่อปี ๒๕๐๓ มานี่เอง
โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๓ เป็นต้นมา หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรามีปัญหาเรื่องกระแสไฟฟ้ากันมากเพราะผลิตไม่พอใช้ ต้องใช้วิธีลดความดันในการจ่ายกระแสลง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เพื่อเฉลี่ยให้ใช้กันได้ทั่วถึง แม้จะทำให้หลอดไฟหรี่มีแสงสลัวลง ก็ยังดีกว่าไม่มีไฟฟ้าใช้ กรุงเทพฯตอนนั้น ซึ่งก็คือจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี มีโรงไฟฟ้าอยู่ ๒ โรง โรงที่วัดเลียบ เชิงสะพานพุทธฯ เป็นของบริษัทไฟฟ้าไทยคอร์เปอเรชั่น จำกัด ที่ฝรั่งชาติเดนมาร์คได้รับสัมปทานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จ่ายไฟให้จังหวัดพระนคร-ธนบุรีเขตใต้ กับโรงไฟฟ้าหลวงสามเสน สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เช่นกัน เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย จ่ายไฟให้พระนคร-ธนบุรีเขตเหนือ โดยใช้แนวคลองบางกอกน้อย คลองบางลำพู คลองมหานาค และคลองแสนแสบแบ่งเขตกันส่วนต่างจังหวัดก็ตั้งโรงไฟฟ้าของตัวเองแต่ละจังหวัด เป็นของเทศบาลบ้าง ของเอกชนบ้าง แต่ปั่นไฟใช้เฉพาะกลางคืน ต่อมารัฐบาลขอร้องให้เปิดในตอนเช้าด้วย เพื่อประชาชนจะได้ใช้เปิดวิทยุฟังข่าวสาร
ตอนสงคราม โรงไฟฟ้าทั้งวัดเลียบและสามเสนถูกระเบิดพังทั้ง ๒ โรง ลองนึกภาพดูเมื่อทั้งกรุงเทพฯ คือพระนคร-ธนบุรีไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องหันไปใช้ตะเกียงและเทียนไขอยู่หลายเดือน
พอสงครามสงบในเดือนสิงหาคม ๒๔๘๘ โรงไฟฟ้าวัดเลียบเร่งซ่อมเพียง ๔ เดือนก็ส่งกระแสไฟฟ้าได้อีก และส่งให้เขตสามเสนด้วย แต่โรงไฟฟ้าสามเสนรัฐบาลกลับไม่สั่งให้ซ่อม จนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๔๙๑ จึงเพิ่งตื่น พอสำรวจก็พบว่าอุปกรณ์ต่างๆถูกระเบิดทำลายไปไม่เท่าไหร่ ที่เสียหายมากก็เพราะถูกทิ้งให้จมน้ำ ตากแดดตากฝน ที่สำคัญถูกขโมยอุปกรณ์ไปมาก
คณะกรรมการใช้เวลา ๑ ปี ๒๘ วันก็ซ่อมเสร็จ เริ่มจ่ายไฟได้ในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๙๒ แม้จะมี ๒ โรงแล้วไฟฟ้าก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก ก่อนสงครามความต้องการไฟฟ้าของจังหวัดพระนครและธนบุรีมีเพียง ๑๐,๐๐๐ กิโลวัตต์ แต่หลังสงครามเพิ่มขึ้นถึง ๔ เท่า เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยหลั่งไหลเข้ามา อย่าง พัดลม เตารีด กาต้มน้ำ เครื่องหุงต้มไฟฟ้า และตู้เย็น โรงทอผ้าวัดสร้อยทองกับโรงปูนซีเมนต์บางซื่อซึ่งปั่นไฟใช้เอง ได้ส่งกระแสไฟมาช่วง ถึง ๑๘,๐๐๐ กิโลวัตต์ ไฟฟ้าก็ยังหรี่ๆ ดับๆ อยู่เสมอ รัฐบาลต้องขอร้องให้งดใช้เครื่องไฟฟ้าทุกชนิดในช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น. แม้แต่ตู้เย็นก็ขอให้ปิด
ในปี ๒๔๙๘ เกิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกขึ้น คือช่อง ๔ วิกบางขุนพรหม และในปี ๒๕๐๑ ก็เกิดช่อง ๕ วิกสนามเป้า แม้ยังเป็นทีวีขาวดำทั้งคู่ก็เป็นที่นิยม ความต้องการกระแสไฟจึงมีมากขึ้น ทำให้กระแสไฟตกเปิดทีวีไม่ได้ หลายบ้านจึงต้องใช้หม้อแปลงที่เรียกว่า“เสต็ปอัพ-เสต็ปดาวน์”ช่วย
ในปี ๒๔๙๒ บริษัทไฟฟ้าของฝรั่งหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงเข้าดำเนินการเอง เปลี่ยนชื่อเป็นไฟฟ้ากรุงเทพ เป็นรัฐวิสาหกิจขึ้นกับกรมโยธาเทศบาลเช่นกัน จนในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๑ จึงได้รวมการไฟฟ้ากรุงเทพกับการไฟฟ้าหลวงสามเสนเข้าด้วยกัน เป็นการไฟฟ้านครหลวง
ตั้งแต่ก่อนสงคราม รัฐบาลได้คิดหาทางจะแก้ปัญหาการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่พอใช้มาตลอด ดำริที่จะนำพลังน้ำตกที่จังหวัดกาญจนบุรีมาผลิตกระแสไฟฟ้า ต่อมาก็วางแผนจะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำแควใหญ่ที่แก่งเรียง เหนือตัวจังหวัด แต่ก็เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน หลังสงครามจึงสร้างเขื่อนยันฮีขึ้นที่จังหวัดตาก และตัดสินใจเปลี่ยนระบบแรงดันไฟฟ้าจาก ๑๑๐ โวลท์มาเป็น ๒๒๐ โวลท์ ก่อนที่จะมอบหน้าที่การผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมดให้การไฟฟ้ายันฮีในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๔
เหตุผลในการเปลี่ยนระบบไฟฟ้าจาก ๑๑๐ โวลท์มาเป็น ๒๒๐ โวลท์ ก็เพราะสามารถจ่ายไฟได้เป็น ๔ เท่าของระบบ ๑๑๐ โวลท์โดยใช้สายขนาดเดียวกันแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟ ซึ่งในขณะนั้นมีอยู่ราว ๑๖๐,๐๐๐ ราย ใช้งบประมาณ ๑๒๐ ล้านบาท แต่ก็คุ้มค่ากับการพัฒนาประเทศในระยะยาว