ได้แบบเมืองนอกก็พอแล้ว เรียนแค่ บ่าย นอกนั้นกิจกรรม
หรือสมัยนี้ทำแบบนี้กันหมดแล้ว ?
อีกเรื่อง เลิกเรื่องการบ้านซะที ถ้าเรียนเข้าใจแล้วจะทำการบ้านทำไม ครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน กลับไปทำการบ้าน ทุกวันพอดีตายห่า
สมัยก่อน เรียนเลิก 3 โมง แต่กว่าจะถึง บ้าน 5โมงครึ่ง แล้วตูจะทำการบ้านตอนไหนวะ
เอาออกก็ดี แล้วเอาวิชา กฏหมาย เข้ามาแทน
ส่วนวิชา ศาสนา เอามาเป็นวิชา ทางเลือก มครอยากศึกษาไส้ใช้ แล้วแต่
สมัยนี้ำม่รู้กฏหมายโตมามีระเบิดอีกรออยู่เพียบ ค่าปรับบางทีเป็นล้าน รู้ไว้ไม่เสียหาย
ถูกต้องครับ ควรสอนให้รู้กฏหมายไทยตั้งแต่ยังเด็ก ซะเลย มันจะได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
(หรือกฏอะไรที่มันออกมาเหี้ยๆ เอาไว้เหยียบหัวตัวเองทั้งหลายนั่นแหละ สมัยนี้มันก็ไม่ค่อยโง่กันเท่าไรแล้วน่าจะรู้กันอยู่บ้าง
ในฐานนะเด็กสายวิทย์
ผมว่ามันควรจะมีหมวดวิชาเลือกลงมามัธยมได้แล้ว ไม่ใช่เรียนอัดพลังกันทุกวิชา พวกจริยธรรมผมว่ามัน common sense มาก เปลี่ยนเป็นพวกวิชากฎหมาย ไม่ก็สุขศึกษานั่นแหละดีกว่า
วิชาการเงินจริงๆก็จำเป็น พวกพื้นฐานบัญชี ขั้นตอนการเสียภาษี ถ้าให้ดีควรมีการลงทุนเบื้องต้นด้วย ผมว่ามันสำคัญมากพวกวิชาการเงิน
วิชาสังคม ม.ปลาย ควรลดบทบาทได้แล้ว ทำไมเราต้องไปท่องชื่อเทือกเขาในต่างประเทศ (เวลาเราอยากไปเราค่อยอ่านก็ได้มั้ย)
วิชาภาษาไทย จะเรียนบาลี เรียนรากศัพท์ เรียนอักษรสูงต่ำไปเพื่อสิ่งใด จุดประสงค์คือแค่เขียนถูกต้อง ได้ใจความก็เพียงพอแล้ว เราจะกลับไปดูรากศัพท์ไปทำไมหว่า
พวกวรรณคดี แต่งกลอนนี่ก็เหมือนกัน ผมก็ยังไม่เห็นความจำเป็นเลยตั้งแต่เรียนมา
เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้เหลือแต่พวกคำสอน เวลาสอบก็เขียนแนวๆการนำไปใช้ มากกว่ามาท่องประวัติวันสำคัญอะไรพวกนั้น
หลักสูตรควรอัพเดตตามยุคสมัยได้แล้ว ควรเน้นไปที่ภาษาอังกฤษกับภาษาที่สาม(วิชาเลือก) เพราะบอกตรงๆว่าในระดับสูงๆ พวก textbook เขียนรู้เรื่องมากกว่าหนังสือภาษาไทยอย่างมาก
พวกด็อกเตอร์ที่ในมหาลัยที่เขียนหนังสือขายชอบโชว์พาว เขียนเรื่องง่ายให้ยากโดยไม่จำเป็น อัดแต่พิสูจน์ ไม่มียกตัวอย่างนำไปใช้ แบบที่เอาไปใช้ทำงานได้จริงๆ หนังสือต่างประเทศหลายเล่มเขียนอธิบายได้ดีกว่ามาก
พวกโปรแกรมมิ่งนี่โคตรสำคัญ ในยุคต่อไป ผมว่าพวกการคิด logic เพื่อเขียนโปรแกรมให้เข้ากับการทำงานนี่สำคัญมาก ยิ่งนานวันเข้าหลายๆบริษัทเริ่มเอาข้อมูลมาวิเคราะห์สู้กันมากขึ้น
ว่าถึงวิชาด้านการเงิน เหมือนเคยเจอ เรื่องเล่าของเด็กที่่ เป็นเศรษฐีตั้งแต่ มัธฐยม เพราะเอาเงินไปลงทุนเป็นได้กำไรมาอาทิตย์ละ 1000 USD

แล้วต่อยอดเป็น
เศรษฐีต่างชาติบางคนยังบอกเลยว่า ระบบศึกษาไม่ได้สอนให้คนหาเงิน แต่สอนให้ทำงานต่างหาก นี่มันระบบผลิตกรรมกร
มีอีกเรื่อง ตอนประท้วง BLM มีข่าวอยู่เรื่องหุ่นตก มีคนเอาเงินไปลงทุนไว้เยอะ ติดแดงเป็นแถบ เลยฆ่าตัวตาย
พ่อกับแม่ ที่มาจัดการหลังจากนั้นบอก ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ขาดทุน แต่ได้กำไร นิดหน่อยด้วยซ้ำ เพราะราคาตอนนั้นผันฝวนหนักมาก
จะทำอะไรก็ใจเย็นๆ เข้าไว้
เรื่อง textbook ผมเคยเล่าไว้หลายรอบแล้วว่า คนไทยที่ไปอยู่เมืองนอก หลายคน จบได้ด้วยคะแนนระดับหัวแถว เกียตรินิยม เพราะอ่าน
แบบเรียน หรือ textbook ตลอด สอบทีไรได้คะแนนเยอะทุกรอบ (ไม่ใช่ขยันแต่ฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องเลยได้แต่อ่านหนังสือเยอะๆ เข้าไว้)
เราควรจัดการเรื่องหลักสูตรกับการออกข้อสอบ เมืองไทยใหม่ซะก่อนเลยด้วย