แหล่งนิยายแปล แหล่งนิยาย นิยายแปล นิยายแต่ง มังงะ การ์ตูน อนิเมะ นายท่าน เว็บไซต์นายท่าน กระทู้สไลม์ สไลม์ยอดรัก

ผู้เขียน หัวข้อ: [5-11 มิถุนายน 2563] ต่อจากแฮรี่ก็เฮอร์ไมโอนี่ [หน้า3 #41]  (อ่าน 3337 ครั้ง)

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
ยัดเยียดประชาธิปไตย



https://web.facebook.com/photo?fbid=151695626422380&set=a.102555341336409

สรุปความคืบหน้ากรณี ‘วันเฉลิม’ เมื่อคนหายตัวไป เกิดอะไรหลังจากนั้น?



เนื้อหาโดยย่อ

กรณีการหายตัวไปของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทย อายุ 37 ปี ที่อาศัยอยู่ในกัมพูชา ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังถูกพูดถึงการอยู่ในเวลานี้ The MATTER รวบรวมและสรุปความคืบหน้า ในด้านการตามหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของวันเฉลิมในโพสต์นี้

ขณะที่ สำนักข่าว Reutersได้สัมภาษณ์โฆษกสำนักงานตำรวจของกัมพูชา โดยได้รับคำตอบที่ยืนยันว่า ตำรวจกัมพูชาไม่ได้เกี่ยวข้องกับกับอุ้มหายในครั้งนี้ ส่วนสำนักข่าว AFP ก็ได้รับคำชี้แจงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชามาเช่นกันว่า ตำรวจกัมพูชายังไม่ได้รับรายงานและข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการเปิดการสอบสวนได้ ส่วนทางด้านโฆษกของกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา บอกว่า ให้ระวังถึงข่าวปลอมจากกรณีนี้ด้วย

BBC Thai สัมภาษณ์ สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นพี่สาวของวันเฉลิม โดยเธอเล่าถึงช่วงเวลาที่เชื่อว่าวันเฉลิมถูกพาตัวไป

“ในโทรศัพท์น้องบอกว่าเขามาซื้อของที่มินิมาร์ทใกล้คอนโดฯ นะ ตอนนี้ออกจากมินิมาร์ทแล้ว ขอแวะซื้อลูกชิ้นก่อน สั่งลูกชิ้นแล้ว เรายังถือหูอยู่ คุยกันอยู่ เล่าเรื่องที่เขาไปประชุมมา และรายงานผลว่าจะทำไงต่อ แล้วสักพักได้ยินเสียงเหมือนปัง

“เราคิดว่าน้องเหมือนโดนรถชน เขาบอกว่าหายใจไม่ออก ๆ แล้วก็มีเสียงคนเขมร 3-4 คน เราคิดว่าน้องเกิดอุบัติเหตุ เราบอกเขาว่าให้ทุบหน้าอกจะได้ดีขึ้น แต่เขาตะโกนบอกว่าหายใจไม่ออก ๆ อยู่ประมาณ 30 นาที แล้วสายก็ตัดไป เราโทรกลับไปที่ไลน์ทั้งสองเบอร์ ขอให้เขาแจ้งกลับมาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะพี่เป็นห่วง” สิตานัน บอกกับ BBC Thai

เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป? The MATTER จะเกาะติดและรายงานความคืบหน้าที่สำคัญมาให้เรื่อยๆ นะ

https://web.facebook.com/photo?fbid=2604924486389604&set=a.1735876059961122
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2020, 04:33:40 PM โดย Taw »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: nosta

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
แปลกนะ  รู้สึกแปลกใจแทนท่าน  ตั้งแต่ดรามาที่ท่านโดนกล่าวหาว่าฟลัดโพสต์  หลังจากนั้น
ทำไมวันสองวันมานี้  กระทู้ผุดมากมาย  บ้างก็ผุดจากผู้โพสต์คนเดียวแต่สร้างโพสต์หลายๆโพสต์
แต่ไม่ยักกะโดนกล่าวหาว่า  ฟลัด

งง  และงง??  หรือมันก็แค่  ท่านโดนหมั่นไส้??  หรือมันก็แค่ท่านตั้งโพสต์ไม่ถูกใจคนหมั่นไส้??
ไหงไม่เห็นใครมาออกโรง  กล่าวหาว่าบลาๆๆๆว่าโพสต์ท่วมเวป  แล้วเมื่อกี้ได้ลองสังเกตุ  สังเกตุเกี่ยวกับ
โพสต์อื่นๆ  ว่าหลายๆโพสต์ก็ยอดคนแสดงความเห็นเป็นศูนย์เยอะแยะ  ทำไมจ้องจับผิดแค่ท่านคนเดียว
งง?  @Taw

เอาจริงๆผมก็ว่าโพสต์เยอะไปจริงๆอยู่นะ แถมเน้นเรื่องเครียดๆเลยโดยบอมพ์ คนอื่นคงเป็นเรื่องฮาๆเลยไม่ค่อยโดนกัน
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: nosta

ออฟไลน์ IsekaiNetwork

  • หัวหน้าฝูงหมีกลาง
  • ****
  • กระทู้: 633
  • ถูกใจแล้ว: 267 ครั้ง
  • ความนิยม: +20/-14
ข่าวล่าสุด  เวป nekopost  ถ้าเข้าไม่ได้  มันจะมีแจ้งจากเบราเซอร์ว่า  ขึ้นแจ้งเตือนว่าหมดสัญญาวันที่ 7 มิ.ย. 
ทำให้ไม่สามารถเข้าได้จากไฟร์ฟอก  แต่เข้าได้ถ้ายอมรับคำเตือนด้วย  กูเกิลโครม  ใครมีปัญหาเข้าเวปนี้ไม่ได้
ให้เข้าด้วยกูเกิลโครมแล้วกดยอมรับความเสี่ยงเน้อ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2020, 04:52:30 PM โดย IsekaiNetwork »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Taw

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
วันนี้ในปี 1971 สามนักบินอวกาศชาวโซเวียต ได้ออกเดินทางขึ้นไปสู่สถานีอวกาศ Salyut 1 ซึ่งเป็นสถานีอวกาศแห่งแรกของมนุษยชาติ

https://scontent.fbkk9-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/102865990_1111658079218684_6422047187124176640_o.jpg?_nc_cat=109&_nc_sid=730e14&_nc_eui2=AeHZ8LStSppp2Q6dMlpGw1jgr4q7gEwLZsiviruATAtmyOU7cUmS0Q6x2C7mTOAgZ2wfEymk93Uoy2DjvB1PzNAv&_nc_oc=AQkJscap3S_jrGMyajQbuXIMI_ZApYXb1w4m8anr0pey4w3GhZxtfMKhg2VL20Dvh_4&_nc_ht=scontent.fbkk9-2.fna&oh=34acddadea60b8a31a96b7ec53e849c3&oe=5F032CAE

ภารกิจของพวกเขานั้นดำเนินไปได้ด้วยดี และเต็มไปด้วยความสำเร็จในด้านต่าง ๆ จนกระทั่งเข้าสู่ในวันที่ 24 ของภารกิจ ที่ลูกเรือของ Soyuz 11 ทั้งสามคนจะต้องเดินทางกลับมาสู่โลกอีกครั้ง และเช่นกันว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งเมื่อยานกลับมาลงจอดบนโลก และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นได้เข้าไปให้การช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่ภาคพื้นได้รีบเข้าทำ CPR อย่างเร่งด่วน แต่ทว่านั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว ทั้งสามเสียชีวิตไม่นานก่อนที่ยานจะลดระดับกลับสู่บรรยากาศของโลกไปก่อนหน้านี้ ต้นเหตุนั้นมาจากวาล์วปรับความดัน ที่ควรจะหลุดออกเมื่อยานกลับสู่โลกแล้ว ดันหลุดออกไปขณะที่ยานยังอยู่ในอวกาศ ทำให้เกิดการสูญเสียความดันในยานอย่างฉับพลัน และเนื่องจากนักบินอวกาศทั้งสามอยู่ในชุดธรรมดา ก็ทำให้พวกเขาขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตลง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกภารกิจที่ขึ้นไปสู่อวกาศนั้นจะต้องมีชุด Pressure Suit ไว้ใส่ในตอนปล่อยยานและตอนกลับมาลงจอดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยเกิดขึ้นอีก

https://web.facebook.com/photo?fbid=1111658075885351&set=a.430164337368065
 

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
บ้านที่ไม่ใช่บ้าน



เนื้อหาโดยย่อ

เคสนี้เป็นน้องผู้ชาย อายุ25ปี ซึ่งตอนนี้ บวชไม่ยอมสึก! เน้นว่า ไม่ ยอม สึก เกิดอะไรขึ้นกับเขา

ครอบครัวน้องเอ มีพ่อแม่ และพี่น้องรวมตัวเอง3คน โดยน้องเอเป็นพี่คนโต แม่น้องเอ จะเป็นคนเจ้าระเบียบ มีแบบแผนในชีวิต และเป็นคนเรียนจบสูงในครอบครัว ส่วนพ่อ เป็นพ่อค้าทั่วไป เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตในบ้าน จึงเรียนจบแค่ม.4แล้วออกมาช่วยงานครอบครัวเหมือนครอบครัวจีนอื่นๆ

ในตอนนั้น น้องเออยู่ชั้นประถม พ่อแม่สังเกตว่า น้องเอเรียนวิชาคณิตศาสตร์ดีมาก และวิชาอื่นๆก็เรียนได้ดีพอสมควร ด้วยความที่ว่า แม่น้องเอ เป็นคนเรียนสูง มีความรู้ เห็นว่าลูกเรียนดี เลยอยากผลักดันให้ลูกได้ดี

หนักๆเข้า ก็ปริ๊นสูตรคูณ หรือสูตรคณิตศาสตร์ยากๆ แปะไว้ตามผนังบ้าน แม้แต่ในห้องน้ำ แต่ตอนนั้น น้องก็ทำผลงานได้ดีดั่งใจแม่ สอบติดโอลิมปิกวิชาการ และได้เข้าไปอยู่ในระดับต้นๆ (คุ้นๆว่าจะได้เหรียญเงินซะด้วยนะ)

ในตอนนั้น แม่น้องเอเห็นว่า รร.เตรียม มีโควต้าสำหรับนักเรียนดีเด่นในแต่ละวิชา แม่น้องเอเลย เน้นให้ลูก เก่งสุดโต่งด้านเดียวไปเลย ซึ่งผลก็ออกมาตามใจคิด น้องเอ ติดเตรียมอุดม ได้เข้าไปเรียนสมใจแม่ แม่ให้น้องเอพักหอพักใกล้ๆ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง ยกเว้น ทีวี และคอมพิวเตอร์ แม่บอกว่า วันธรรมดา ให้ตั้งใจเรียน เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์ แม่จะพาไปเที่ยว ทีวีกับคอมไม่ต้องมีหรอก เดี๋ยวติดดูโน่นนี่ ไม่ตั้งใจเรียน จนกระทั่งน้องเอ แอบรู้ว่า แม่น้องเอให้นิติกรที่หอ สังเกตน้อง และแม่จะโทรมาถามนิติที่หอตลอดว่า น้องไปไหนมาบ้าง ทำอะไรบ้าง นอกลู่นอกทางมั้ย น้องรู้ แต่ไม่กล้าถามแม่ กลัวแม่ไม่ไว้ใจตัวเอง เลยทำตัวเองให้ดี ไม่ให้แม่ห่วง

จนกระทั่ง เรียนจนถึงม.6 เทอมสุดท้าย วิ่งสอบต่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แม่บอกน้องเอว่า ต้องเอาหมอหรือวิศวะไว้อันดับต้นๆนะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน น้องเอก็ทำตาม แต่สุดท้าย ประกาศผล น้องเอ สอบไม่ติด แม้แต่ที่เดียว! เกิดอะไรขึ้น!? เด็กโอลิมปิก ติดเตรียมเชียวนะ ทำไมสอบอะไรไม่ติดเลย หลังประกาศผล เมื่อพ่อแม่รู้ ก็รุมว่าลูก ทำไมทุ่มเทให้ตั้งเยอะแต่ไม่รักดี ไม่ตั้งใจเรียน

"ทำไมทำตัวโหลยโท่ยอย่างนี้"

น้องก็รอสอบใหม่อีกปี เพราะแม่ต้องการให้น้องสอบติดหมอให้ได้ แต่สุดท้าย ในปีนั้น ก็ไม่ติดอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กเรียนเก่งขนาดนั้น สุดท้าย แม่น้องเอมาปรึกษาแอดมิน เนื่องจากเห็นว่าแอดมินสอบติดหมอเลยอยากให้ลองคุยกับน้องหน่อยว่ามีเคล็ดลับอะไร

"แล้วไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้เล่นคอม พอเวลาเรียน ก็คุยกับใครเขาไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ว่า ไปอยู่หลังเขาไหนมา ก็ไม่กล้าบอกว่า ไม่มีทีวี"

"นิติกรก็ถามจัง เป็นสปายให้แม่ แล้วแม่จะส่องดูไปไหน ไม่ไปเสพยาหรอกน่ะ ส่องอยู่นั่นแหละ อึดอัด"

"แล้วเพื่อนเขาเรียนเก่งๆทั้งนั้น ผมเก่งแต่วิชาเลข เข้าไปเรียนถึงได้รู้เลยว่า ผมแม่งโง่ เก่งแค่เลข วิชาอื่นโง่กว่าเด็กมอต้นอีก"

"ผมไม่อยากเป็นหมอ ไม่อยากเป็นวิศวะ ไม่เอาแล้วไม่อยากเรียนอะไรที่ต้องอ่านหนังสือแล้ว อยากไปเรียนนิเทศ อยากไปเป็นทหารให้รุ้แล้วรู้รอด"

นี่คือประโยคที่บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจน้องเอได้อย่างดี

สุดท้าย น้องเอ สอบติดวิศวะ สาขาควบคุม แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตเหลวแหลก กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวหญิง ทำทุกอย่างที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้ทำ! สุดท้าย ถูกรีไทร์ เพราะสอบติดFแล้วไม่สนใจไปแก้ หลังถูกรีไทร์ แอดมินได้มีโอกาสคุยกับน้องอีกรอบ น้องบอกว่า รู้สึกว่าทุกอย่าง เกิดขึ้น เพราะแม่ ไม่อยากทำอะไรให้แม่แล้ว เบื่อมันไปทุกอย่าง ไม่อยากกลับบ้าน อยากเที่ยวอยากให้ชีวิตให้คุ้ม แล้วก็ตายๆไปซะ

สุดท้าย ถึงจุดที่ตกต่ำสุดในชีวิต และมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ แต่สายไปแล้ว น้องเอจึงขอบวชตลอดชีวิต(ไม่ขอเล่าถึง เหตุการณ์ไม่ค่อยตรงประเด็นของโพสต์นี้)

ต้นทาง https://web.facebook.com/photo?fbid=147327143557992&set=a.116096370014403

อนึ่ง บางคนในเมนท์ต้นทางยังโทษเออยู่เลย นี่แหละนะมายด์เซทไทยๆที่พ่อแม่ถูกเสมอ ทำผิดคือเรื่องหยวนๆได้ ลูกทำผิดประนามยิ่งกว่าอาชญากรข่มขืน นึกถึงพวกที่อ้างเรื่องหาเงินเลี้ยงคือฝ่ายถูก ใช่...เงินพ่อแม่ แต่นั่นก็หน้าที่อยู่แล้วทั้งโดยกฎหมายและโดยศีลธรรม คนเป็นพ่อแม่เค้าเลือกลูกที่จะมาเกิดได้ ได้เพศที่ไม่ต้องการ เกิดจากคนที่ไม่ต้องการก็ทำแท้งไม่ก็ยกให้สถานรับเลี้ยงได้ แต่คนเป็นลูกมันเลือกเกิดไม่ได้ไงว่าจะเกิดครอบครัวแบบไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 08, 2020, 02:31:26 AM โดย Taw »
 

ออฟไลน์ Sasageyo

  • หัวหน้าฝูงหมีเล็ก
  • ***
  • กระทู้: 387
  • ถูกใจแล้ว: 340 ครั้ง
  • ความนิยม: +19/-24
สรุปดราม่า #savehrk ละเอียดยิบต้นจนจบ คนงงเกินไปไหม บีบให้พูดเรื่อง วันเฉลิม
https://hilight.kapook.com/view/203010

อ่านข่าวแล้วอย่าลืมอ่านคอมเมนต์กันนะ  มันดีตรงได้รู้ว่าผู้คนคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวต่างๆว่าอย่างไร
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Taw

ออฟไลน์ kass

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,889
  • ถูกใจแล้ว: 611 ครั้ง
  • ความนิยม: +52/-46
สรุปดราม่า #savehrk ละเอียดยิบต้นจนจบ คนงงเกินไปไหม บีบให้พูดเรื่อง วันเฉลิม
https://hilight.kapook.com/view/203010

อ่านข่าวแล้วอย่าลืมอ่านคอมเมนต์กันนะ  มันดีตรงได้รู้ว่าผู้คนคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวต่างๆว่าอย่างไร


กรณีปูไปรยานี่ ก็ว่าไปอย่างนะ แต่ตาเอกนี่...จะลากมาดราม่าทำเพื่อมันก็สิทธิของเขาหรือปล่าว
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Taw

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
ทีวีช่องดังฟิลิปปินส์ ทำรายการเปรียบเทียบระบบขนส่งมวลชน กรุงเทพฯ VS มะนิลา



เนื้อเรื่องโดยย่อ

รายการทีวีของสถานีโทรทัศน์ GMA Network ซึ่งเป็นช่องที่ใหญ่เป็นดันดับ 2 ของประเทศฟิลิปปินส์ ได้ทำรายการสารคดีข่าวที่ชื่อว่า Reporter's Notebook ซึ่งเป็นรายการยาว 20 นาทีเพื่อเปรียบเทียบฟิลิปนส์และเพื่อนบ้านอาเซียนในแง่มุมต่างๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และเทปนี้เป็นการเปรียบเทียบระบบ Mass Transit หรือขนส่งมวลชนของกรุงทพฯ และกรุงมะนิลา

เริ่มต้นคือพิธีกร "Maki Pulido" ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรข่าวหญิงอันดับต้นๆ ของสถานีและของประเทศ เปรียบเทียบก็ประมาณคุณ กรุณา บัวคําศรี เพราะเธอสามารถดำเนินรายการทั้งในสตูดิโอและลงพื้นที่ได้คล้ายกัน ได้เดินทางมาที่กรุงเทพฯ ที่เป็นเหมือนกับเมืองคู่แฝดของมะนิลา เธอว่าอย่างนั้นนะ และเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่คนฟิลิปปินส์เองก็เข้ามาทำงานและท่องเที่ยว ก็พูดถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เป็นสนามบินหลักของภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ ต้อนรับนักเดินทางต่อปีมากกว่า 40 ล้านคน และการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองก็มีระบบรถไฟฟ้าแอร์พอต เรลลิ้ง เชื่อมต่อกับระบบรถไฟไฟ้าภายในเมืองซึ่งมีความสะดวกสบาย ซึ่งที่มะนิลายังไม่มีแบบนี้ และต้องใช้รถโดยสาร แท๊กซี่ หรือจิ๊บนี่ ที่ต้องเจอกับรถติด แม้จะมีแผนจะสร้างแต่ก็เป็นแค่แผน

มีการเปรียบเทียบเส้นทางรถไฟฟ้าในปัจจุบันของมะนิลา ที่มี LRT 2 สาย และ MRT 1 สาย ส่วนกรุงเทพฯมีรถไฟฟ้าทั้งหมด 5 สาย และกำลังก่อสร้างอีก 5 สาย นอกจากนี้ก็เปรียบเทียบเส้นทางรถไฟในประเทศ ที่ของไทยมีมากกว่าและยาวกว่า ครอบคลุมกว่า โดยเฉพาะรถไฟระหว่างเมืองที่มีความยาวมากกว่าฟิลิปปินส์ถึง 10 เท่า

เธอไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินงานการเดินรถและให้คำแนะนำด้านการบำรุงรักษา ซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานในเมืองไทย เขาเล่าว่า ระบบรถไฟฟ้าของกรุงเทพฯ ถือว่ามีความทันสมัยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และกำลังขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้า

รถไฟฟ้าในเมืองไทยใช้เวลาสร้างต่อสายเฉลี่ย 5 ปี พิธีกรดูตกใจมากว่า 5 ปีเหรอ!! เพราะที่กรุงเทพมีสิ่งที่เรียกว่า Rulebook หรือถ้าแปลแบบสวยๆ ก็คือมีสัญญาก่อสร้างซึ่งเป็นแผนการดำเนินโครงการในระยะต่างๆ ซึ่งยึดตามแผนนี้ทำให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย ที่เธอตกใจเพราะว่ารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ถือว่าสร้างเร็วกว่าในมะนิลามาก อย่างปัจจุบันนี้มะนิลามีรถไฟฟ้า 3 สาย คือ LRT 1 หรือสายสีีเหลือง และ LRT 2 หรือสายสีม่วง เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2527 และสาย MRT 3 หรือสายสีน้ำเงิน แต่เป็นระบบรางเบา หรือ LRT ซึ่งเป็นสายล่าสุดนี้เปิดพร้อมๆ BTS ในปีเดียวกันคือปี 2542 และทั้ง 3 สาย มีระยะทางสั้นๆ แค่สิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น ทั้งนี้กำลังมีแผนที่จะขยายสาย LRT 2 จากย่าน EDSA ไปที่สถานีเอ็มเมอรอล และสถานีมิสซิ่ง ยาว 4 กิโล แต่สร้างมาจะ 5 ปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ ซึ่งช้ามาก

ส่วนอีกสาย คือ MRT 7 หรือสายสีแดง ยาว 22.7 กิโลเมตร 14 สถานี จากย่าน EDSA กำลังจะสร้างสถานีกลาง Unified Grand Central Station ที่จะรวมสี่สาย คือ LRT 1, MRT 3 , MRT 7 และ MRT 5 ( Manila Subway ) ไปที่ย่านเขตมินดาเนาทางตอนเหนือของ Metro Manila ซึ่งก็ยังไม่คืบหน้าเลย

ส่วนที่เหลือกำลังอนุมัติหรือเริ่มสร้างแล้ว คือส่วนต่อขยายรถไฟชานเมือง PNR North and South รถไฟจากเมืองคลากมาสนามบินนานาชาติ NAIA

เห็นว่า MRT 5 และ Makati Subway จะเริ่มสร้างในปีหน้า แต่ไม่รู้ว่าหลังจากโควิดเข้าไปอาจเจอโรคเลื่อนอีกยาว เพราะฟิลิปปินส์ตอนนี้สถานะทางการคลังง่อนแง่นเข้าขั้นถังแตก

ดังนั้นฟิลิปปินส์มีรถไฟฟ้าครั้งแรกคือปี 2527 และมาเปิดสายล่าสุดในปี 2542 ซึ่งห่างกันถึง 15 ปี และตอนนี้ปี 2563 ฟิลิปปินส์ก็ยังมีรถไฟฟ้า 3 สายที่เปิดให้บริการเท่าเดิม แม้จะผ่านมา 21 ปี

ขณะที่ไทยเรามีรถไฟฟ้าใช้สายแรกคือ BTS ปี 2542 ตามมาด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (รถไฟฟ้าใต้ดิน) ปี 2547 แอร์พอร์ต เรลลิ้งค์ เปิดปี 2553 หลังจากนั้นเราก็เปิดส่วนต่อขยายสายต่างดังนี้
สายสีเขียว สายสุขุมวิท
เปิดปี 2554 : อ่อนนุช - แบริ่ง
เปิดปี 2560 : แบริ่ง - สำโรง
เปิดปี 2561 : สำโรง - เคหะ
เปิดปี 2562 : ห้าแยกลาดพร้าว - ม.เกษตร
เปิดปี 2563 : กรมป่าไม้ - วัดพระศรี
เปิดปี 2563 : พหลโยธิน 59 - คูคต

สายสีเขียว สายสีลม
เปิดปี 2552 : สะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่
เปิดปี 2556 : โพธิ์นิมิตร - บางหว้า

หลังจากนั้นสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - บางใหญ่ เปิดปี 2559

สายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย
เปิดปี 2560 : บางซื่อ - เตาปูน
เปิดปี 2562 : บางโพธิ์ - ท่าพระ
เปิดปี 2562 : วัดมังกร - หลักสอง

นอกจากนี้ก็มีไปดูระบบขนส่งอื่นๆ เช่น รถเมล์ แท็กซี่ เรือคลองแสนแสบ เรือด่วน รถ BRT ก็กล่าวถึงรวมๆ ประมาณว่าก็ยังมีระบบขนส่งอื่นๆ ที่คอยซัพพอร์เป็นแบบฟีดเดอร์เชื่อมกับระบบรถไฟฟ้า แม้จะไม่ได้ดูทันสมัยแต่ก็เชื่อมต่อได้มีประสิทธิภาพในราคาที่ไม่แพง ซึ่งมะนิลาเธอพูดถึงเรือคลองแสนแสบเทียบกับเรือโดยสารแม่น้ำปาซิก ที่เพิ่มเปิดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่ได้มีเที่ยวการเดินทางถี่เท่า ดีแค่เรือใหม่กว่า

หลังจากนั้นก็โฟกัสไปที่ระบบรถเมล์ที่เป็นแบบบัสเลน ซึ่งกรุงเทพมี BRT แต่มะนิลายังไม่มีระบบรถเมล์เป็นสายแบบกิจลักษณะ ถึงมีแต่ก็น้อยและไม่ครอบคลุม แม้จะมีความพยายามเพิ่มสายรถเมล์ แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอและไม่สามารถแข่งกับจิ๊บนี่ หรือไตรซิเคล(คล้าย 3 ล้อพ่วงข้าง) ซึ่งรถจิ๊บนี่ที่วิ่งให้บริการนั้นก็สร้างปัญหามลพิษ และก่อปัญาการจราจรจิดขัด กรุงมะนิลาควรจะมีระบบขนส่งที่ดีกว่านี้

https://web.facebook.com/photo?fbid=1465323656973288&set=a.140887172750283
 

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
เพื่อนบ้านยิ่งโต​ ยิ่งเจริญ​ ยิ่งเป็นผลดีกับไทย กลัวอะไรกับการเห็นประเทศเพื่อนบ้านพร้อมใจพัฒนา?



เนื้อหาโดยย่อ
หมายเหตุ : นี่ไม่ใช่ข้อความของข้าพเจ้าเอง หากแต่เป็นข้อความที่ผมตัดต่อมาจากต้นทางอีกทีนึง

ที่ผมเขียนโพสต์​นี่ก็เพียงจะชวนแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องความเจริญของประเทศเพื่อนบ้าน​ คือ​ผมไม่ได้กลัวเพื่อนบ้านเจริญหรือแซงเราเลยด้วยซ้ำ​ ผมสนับสนุนให้เขาโตเสียทีอีกด้วย​ เพราะยิ่งเขาเจริญเท่าไหร่​ มันยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทย​ในหลายๆ​ มิติ​ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาสังคม​ที่มันจะลดมุมมองการด้อยค่าของมนุษย์ลงได้มาก​ ปัญหาขอทาน​ ปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหาการค้าแรงงานมนุษย์ก็จะลดลงด้วย​ เพราะใครจะมาทนให้โดนกดขี่ใช้งานเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ต่างบ้านต่างเมืองล่ะ​ ถ้าอยู่บ้านเกิดสบายๆ​

ส่วนเรื่อง GDP เนี่ยก่อนจะเอามาอ้างอิงเปรียบเทียบว่า​ GDP​ สูงคือต้องแซง​ คนที่ชอบยกมาอ้างบ่อยๆ​ คุณควรไปทำความเข้าใจมาดีๆ ก่อนยก GDP มาอ้างอิงนะ​ เพราะการที่ GDP โตไม่ได้หมายความว่าจะเจริญไว ไม่งั้นประเทศที่​ GDP ต่ำๆ ก็คงล้าหลังหมด​

ลาว​ กัมพูชา GDP โต 9% ฟิลิปปินส์เคยโตสูงสุดถึง​7% อินโดนีเซียก็โต 7% ติดต่อกันหลายปี ส่วนไทยโต 3% บ้าง 4% บ้างติดๆ กันมาหลายปี เพราะเจอหลุมการเมือง เจอวิกฤตเศรษฐกิจ​ เจอมรสุม​สารพัดรุมเร้า แต่ทำไมฐานรายได้และมูลค่าเศรษฐกิจ​ของไทยยังสูงขึ้นต่อเนื่องล่ะ ไม่แปลกใจบ้างเหรอ?

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า​ ตราบใดที่ประเทศเหล่านี้เติบโต ไทยก็โตตามไปด้วยจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และในขณะที่ไทยโตขึ้น มาเลเซีย​ สิงคโปร์ก็โตตามกันไป ฐานมันขยับขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นห่วงโซ่อุปทานมันเกี่ยวเนื่องกันทั้งภูมิภาค

สำหรับประเทศเวียดนามที่คนชอบเอามาพูดเปรียบเทียบคือ​ เรื่องผังเมืองที่ดี มรดกจากการวางรากฐานไว้โดยฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ที่มันช่วยจัดระบบโซนนิ่งเมือง​รองรับการเติบโตในอนาคตได้ แต่ตัวเร่งที่ทำให้ประเทศเติบโตมันไม่ใช่แค่ผังเมืองเท่านั้น ตอนนี้เวียดนามยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมอะไรที่จะไปสู่จุดที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เวียดนามยังเป็นผู้รอรับการลงทุนจากต่างชาติในเรตค่าแรงราคาถูก และการได้สิทธิพิเศษทางการค้าเรื่องภาษีจาก FTA แต่ยังไม่มีการส่งเสริมเรื่อง R&D อย่างจริงจังด้วยซ้ำ

ลองมองอย่างเปิดตาเปิดใจไร้อคติจริงๆ​ ดูสิว่า​ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 - 2563
1. ประเทศตลอด​ 20​ ปีที่ผ่านมามันไม่เดินหน้าอย่างที่หลายคนมักพูดจริงๆ หรือไม่?
2. มองเข้ามาใกล้ตัวอีกว่า​ รายได้ต่อเดือนของคุณเมื่อ​ 20​ ปีที่แล้วมันไม่เพิ่มขึ้นจริงเหรอ​? และถ้ามันไม่เพิ่มแต่คนอื่นเพิ่ม​ สรุปเป็นที่ตัวเองหรือเป็นที่ตรงไหน​?
3. เราไม่มีโครงการพื้นฐานการพัฒนาประเทศใหม่ๆ​ เลยเหรอ?​
4. ไม่มีการกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคเลยเหรอ?​
5. สิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ไม่มีเลยเหรอ?​
6. หรือแค่เพราะตัวเองยังจนอยู่เพราะใช้ชีวิตแบบเดิมๆ​ ทำแบบเดิมๆ​ แต่หวังว่าจะเกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ​ ที่ดีกว่า​ แต่พอไม่รู้สึกว่าชีวิตพัฒนาก็เลยมองทุกอย่างไม่พัฒนาไปหมด​ เพียงเพราะตัวเองไม่รวยขึ้น?

ถ้าศึกษาเรื่องการลงทุนในเวียดนามดีๆ จะรู้เลยว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่เคยเป็นของเวียดนามหลายธุรกิจ​ ถูกขายให้ต่างชาติเพียบ เพราะกฎหมายการลงทุนของเวียดนามต่างจากไทย เพราะสามารถให้สิทธิ์ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ส่วนไทยห้ามต่างชาติถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนต้องไม่เกิน 50% เท่านั้น บริษัทด้านค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโถค และเกษตรกรรม ตกเป็นของไทยเกือบหมด​ ซึ่งทั้งเจ้าสัว​ไทยเบฟฯ และเจ้าสัว CP ก็ซื้อกิจการขนาดใหญ่ของเวียดนามไว้หมดแล้วครับ​ แทบจะกินรวบทั้งห่วงโซ่

ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิก​ ยานยนต์ ก็เป็นตลาดของเกาหลีที่กวาดไปทั้งอุตสาหกรรม​ อสังหาฯ​ ก็ทุนจีน​ - เกาหลี แม้แต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาประเทศ​ เช่น​ ไฟฟ้า​ ถนน​ รถไฟฟ้า​ โรงพยาบาล​ ยังมีกลุ่มทุนจีนและไทย​ เกาหลี​ ญี่ปุ่น​ กว้านซื้อกิจการไว้เช่นกัน

ปัญหาคือ​ เอกชนเวียดนามก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะท้าชนกับบิ๊กเนมจากต่างชาติได้​ และถ้าเวียดนามไม่ปกป้องธุรกิจในประเทศของตัวเองหรือสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจภายในเพื่อแข่งขันกับต่างชาติ มันไม่ง่ายที่จะโตแซงใคร เพราะกว่าเวียดนามจะขึ้นมาจี้ท้ายตามไทยได้​ เวียดนามต้องแซงฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย​ให้ได้เสียก่อน ยิ่งอินโดนีเซีย​ คืองานหินของเวียดนาม ทั้งขนาดเศรษฐกิจและการลงทุน ถ้าผ่านมาได้ค่อยมาเจอกับไทย

ส่วนไทยแม้จะยังไม่ได้มีแบรนด์​ที่รู้จักในวงกว้างระดับโลกก็ตาม​ แต่แบรนด์​ไทยมีนวัตกรรมที่ต่อยอดจากการเรียนรู้จากประเทศผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีจนสร้างแบรนด์​ตัวเองขายได้ในระดับเอเชีย​ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า​ ​ห้างค้าปลีก​ แฟชั่น​ หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่แม้แต่คนไทยเองยังไม่รู้เลยว่านี่คือของไทยแท้ๆ​ 100% แต่เป็นชื่อภาษาต่างประเทศ​ เพราะมันจะต้องขายไปทั่วโลก​ และตลาดในไทยคนอาจจะไม่นิยม​ แต่มันไปนิยมที่ต่างประเทศให้พรึบ​ เพราะคนไทยก็ยังติดภาพของไทยไม่ดี​ ไม่สนับสินสินค้าไทย​ แต่หารู้ไม่ว่าในตลาดระดับเอเชีย​ และตลาดโลกมันขายได้อย่างสวยงาม

ดังนั้นหากเปลี่ยนทัศนคติ​คนไทยเรื่องการใช้แบรนด์​ไทยแทนแบรนด์​นอกไม่ได้ฉันใด​ คนในประเทศ​เพื่อนบ้านก็เปลี่ยนทัศนคติมาใช้แบรนด์​ตัวเองแทนแบรนด์​ไทยไม่ได้ฉันนั้น​ เพราะสมองมันถูกฝังไปแล้วว่า​ ของไทย=ของดี=ของมีคุณภาพ

สุดท้ายนี้อยากบอกว่า​ ผมก็ยืนยันว่าเพื่อนบ้านควรเจริญ​ เจริญให้ได้มากที่สุด​ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศตัวเองและคู่ค้าอย่างไทย​ และการชื่นชมเพื่อนบ้านไม่ใช่เรื่องผิด​ หรือชังชาตินะ​ แต่ขอให้รู้ข้อมูลที่จริง​ รู้ในระดับสถิติ​ ตัวเลข​ โครงสร้างสังคม​ หรือแม้แต่สัดส่วนการครองส่วนแบ่งทางการตลาด​ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างที่สื่อชอบอวยกันไหม​ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อกันง่ายๆ​ เวลาอ่านข่าวที่เต็มไปด้วยสำนวน​ "ตีหัวเข้าบ้าน"

https://web.facebook.com/photo?fbid=1463629310476056&set=a.187089878130012
 

ออฟไลน์ Sasageyo

  • หัวหน้าฝูงหมีเล็ก
  • ***
  • กระทู้: 387
  • ถูกใจแล้ว: 340 ครั้ง
  • ความนิยม: +19/-24
เพื่อนบ้านยิ่งโต​ ยิ่งเจริญ​ ยิ่งเป็นผลดีกับไทย กลัวอะไรกับการเห็นประเทศเพื่อนบ้านพร้อมใจพัฒนา?

[img/]

เนื้อหาโดยย่อ
หมายเหตุ : นี่ไม่ใช่ข้อความของข้าพเจ้าเอง หากแต่เป็นข้อความที่ผมตัดต่อมาจากต้นทางอีกทีนึง

ที่ผมเขียนโพสต์​นี่ก็เพียงจะชวนแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องความเจริญของประเทศเพื่อนบ้าน​ คือ​ผมไม่ได้กลัวเพื่อนบ้านเจริญหรือแซงเราเลยด้วยซ้ำ​ ผมสนับสนุนให้เขาโตเสียทีอีกด้วย​ เพราะยิ่งเขาเจริญเท่าไหร่​ มันยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทย​ในหลายๆ​ มิติ​ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาสังคม​ที่มันจะลดมุมมองการด้อยค่าของมนุษย์ลงได้มาก​ ปัญหาขอทาน​ ปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหาการค้าแรงงานมนุษย์ก็จะลดลงด้วย​ เพราะใครจะมาทนให้โดนกดขี่ใช้งานเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ต่างบ้านต่างเมืองล่ะ​ ถ้าอยู่บ้านเกิดสบายๆ​

ส่วนเรื่อง GDP เนี่ยก่อนจะเอามาอ้างอิงเปรียบเทียบว่า​ GDP​ สูงคือต้องแซง​ คนที่ชอบยกมาอ้างบ่อยๆ​ คุณควรไปทำความเข้าใจมาดีๆ ก่อนยก GDP มาอ้างอิงนะ​ เพราะการที่ GDP โตไม่ได้หมายความว่าจะเจริญไว ไม่งั้นประเทศที่​ GDP ต่ำๆ ก็คงล้าหลังหมด​

ลาว​ กัมพูชา GDP โต 9% ฟิลิปปินส์เคยโตสูงสุดถึง​7% อินโดนีเซียก็โต 7% ติดต่อกันหลายปี ส่วนไทยโต 3% บ้าง 4% บ้างติดๆ กันมาหลายปี เพราะเจอหลุมการเมือง เจอวิกฤตเศรษฐกิจ​ เจอมรสุม​สารพัดรุมเร้า แต่ทำไมฐานรายได้และมูลค่าเศรษฐกิจ​ของไทยยังสูงขึ้นต่อเนื่องล่ะ ไม่แปลกใจบ้างเหรอ?

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า​ ตราบใดที่ประเทศเหล่านี้เติบโต ไทยก็โตตามไปด้วยจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และในขณะที่ไทยโตขึ้น มาเลเซีย​ สิงคโปร์ก็โตตามกันไป ฐานมันขยับขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นห่วงโซ่อุปทานมันเกี่ยวเนื่องกันทั้งภูมิภาค

สำหรับประเทศเวียดนามที่คนชอบเอามาพูดเปรียบเทียบคือ​ เรื่องผังเมืองที่ดี มรดกจากการวางรากฐานไว้โดยฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ที่มันช่วยจัดระบบโซนนิ่งเมือง​รองรับการเติบโตในอนาคตได้ แต่ตัวเร่งที่ทำให้ประเทศเติบโตมันไม่ใช่แค่ผังเมืองเท่านั้น ตอนนี้เวียดนามยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมอะไรที่จะไปสู่จุดที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เวียดนามยังเป็นผู้รอรับการลงทุนจากต่างชาติในเรตค่าแรงราคาถูก และการได้สิทธิพิเศษทางการค้าเรื่องภาษีจาก FTA แต่ยังไม่มีการส่งเสริมเรื่อง R&D อย่างจริงจังด้วยซ้ำ

ลองมองอย่างเปิดตาเปิดใจไร้อคติจริงๆ​ ดูสิว่า​ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 - 2563
1. ประเทศตลอด​ 20​ ปีที่ผ่านมามันไม่เดินหน้าอย่างที่หลายคนมักพูดจริงๆ หรือไม่?
2. มองเข้ามาใกล้ตัวอีกว่า​ รายได้ต่อเดือนของคุณเมื่อ​ 20​ ปีที่แล้วมันไม่เพิ่มขึ้นจริงเหรอ​? และถ้ามันไม่เพิ่มแต่คนอื่นเพิ่ม​ สรุปเป็นที่ตัวเองหรือเป็นที่ตรงไหน​?
3. เราไม่มีโครงการพื้นฐานการพัฒนาประเทศใหม่ๆ​ เลยเหรอ?​
4. ไม่มีการกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคเลยเหรอ?​
5. สิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ไม่มีเลยเหรอ?​
6. หรือแค่เพราะตัวเองยังจนอยู่เพราะใช้ชีวิตแบบเดิมๆ​ ทำแบบเดิมๆ​ แต่หวังว่าจะเกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ​ ที่ดีกว่า​ แต่พอไม่รู้สึกว่าชีวิตพัฒนาก็เลยมองทุกอย่างไม่พัฒนาไปหมด​ เพียงเพราะตัวเองไม่รวยขึ้น?

ถ้าศึกษาเรื่องการลงทุนในเวียดนามดีๆ จะรู้เลยว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่เคยเป็นของเวียดนามหลายธุรกิจ​ ถูกขายให้ต่างชาติเพียบ เพราะกฎหมายการลงทุนของเวียดนามต่างจากไทย เพราะสามารถให้สิทธิ์ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ส่วนไทยห้ามต่างชาติถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนต้องไม่เกิน 50% เท่านั้น บริษัทด้านค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโถค และเกษตรกรรม ตกเป็นของไทยเกือบหมด​ ซึ่งทั้งเจ้าสัว​ไทยเบฟฯ และเจ้าสัว CP ก็ซื้อกิจการขนาดใหญ่ของเวียดนามไว้หมดแล้วครับ​ แทบจะกินรวบทั้งห่วงโซ่

ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิก​ ยานยนต์ ก็เป็นตลาดของเกาหลีที่กวาดไปทั้งอุตสาหกรรม​ อสังหาฯ​ ก็ทุนจีน​ - เกาหลี แม้แต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาประเทศ​ เช่น​ ไฟฟ้า​ ถนน​ รถไฟฟ้า​ โรงพยาบาล​ ยังมีกลุ่มทุนจีนและไทย​ เกาหลี​ ญี่ปุ่น​ กว้านซื้อกิจการไว้เช่นกัน

ปัญหาคือ​ เอกชนเวียดนามก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะท้าชนกับบิ๊กเนมจากต่างชาติได้​ และถ้าเวียดนามไม่ปกป้องธุรกิจในประเทศของตัวเองหรือสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจภายในเพื่อแข่งขันกับต่างชาติ มันไม่ง่ายที่จะโตแซงใคร เพราะกว่าเวียดนามจะขึ้นมาจี้ท้ายตามไทยได้​ เวียดนามต้องแซงฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย​ให้ได้เสียก่อน ยิ่งอินโดนีเซีย​ คืองานหินของเวียดนาม ทั้งขนาดเศรษฐกิจและการลงทุน ถ้าผ่านมาได้ค่อยมาเจอกับไทย

ส่วนไทยแม้จะยังไม่ได้มีแบรนด์​ที่รู้จักในวงกว้างระดับโลกก็ตาม​ แต่แบรนด์​ไทยมีนวัตกรรมที่ต่อยอดจากการเรียนรู้จากประเทศผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีจนสร้างแบรนด์​ตัวเองขายได้ในระดับเอเชีย​ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า​ ​ห้างค้าปลีก​ แฟชั่น​ หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่แม้แต่คนไทยเองยังไม่รู้เลยว่านี่คือของไทยแท้ๆ​ 100% แต่เป็นชื่อภาษาต่างประเทศ​ เพราะมันจะต้องขายไปทั่วโลก​ และตลาดในไทยคนอาจจะไม่นิยม​ แต่มันไปนิยมที่ต่างประเทศให้พรึบ​ เพราะคนไทยก็ยังติดภาพของไทยไม่ดี​ ไม่สนับสินสินค้าไทย​ แต่หารู้ไม่ว่าในตลาดระดับเอเชีย​ และตลาดโลกมันขายได้อย่างสวยงาม

ดังนั้นหากเปลี่ยนทัศนคติ​คนไทยเรื่องการใช้แบรนด์​ไทยแทนแบรนด์​นอกไม่ได้ฉันใด​ คนในประเทศ​เพื่อนบ้านก็เปลี่ยนทัศนคติมาใช้แบรนด์​ตัวเองแทนแบรนด์​ไทยไม่ได้ฉันนั้น​ เพราะสมองมันถูกฝังไปแล้วว่า​ ของไทย=ของดี=ของมีคุณภาพ

สุดท้ายนี้อยากบอกว่า​ ผมก็ยืนยันว่าเพื่อนบ้านควรเจริญ​ เจริญให้ได้มากที่สุด​ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศตัวเองและคู่ค้าอย่างไทย​ และการชื่นชมเพื่อนบ้านไม่ใช่เรื่องผิด​ หรือชังชาตินะ​ แต่ขอให้รู้ข้อมูลที่จริง​ รู้ในระดับสถิติ​ ตัวเลข​ โครงสร้างสังคม​ หรือแม้แต่สัดส่วนการครองส่วนแบ่งทางการตลาด​ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างที่สื่อชอบอวยกันไหม​ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อกันง่ายๆ​ เวลาอ่านข่าวที่เต็มไปด้วยสำนวน​ "ตีหัวเข้าบ้าน"

https://web.facebook.com/photo?fbid=1463629310476056&set=a.187089878130012

ใช่  ถ้าพันธมิตรเราแกร่ง  ตัวเราก็แกร่งตาม  และกลุ่มเราก็อำนาจต่อรองกับกลุ่มอื่นมากตามไปด้วย
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Taw

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
[มิตรสหายท่านหนึ่ง] ว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย



เนื้อหาโดยย่อ
หมายเหตุ : ข้อความในข้อนี้เป็นข้อความที่ตัดต่อมาจากต้นทางเพจ

"อยากเขียนเรื่อง UNHCR มานานแล้ว ในฐานะผู้ลี้ภัยไทยและคนที่ทำงานในองค์กรผู้ลี้ภัยอยู่ตอนนี้ เราว่าองค์กรนี้ล้มเหลวในการโปรโมทเรื่องผู้ลี้ภัยมาก ไม่ใช่แค่ UNHCR ประเทศไทย แต่ UNHCR ทั่วโลกมีปัญหาเดียวกันหมดคือ ชอบเอาชอบรูปเด็กผอมๆเหลือแต่กระดูก ใส่เสื้อผ้ามอมแมม ฉากหลังเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่บางทีก็มีภาพระเบิดติดมาในฉากหลัง เอามาโปรโมทหาเงินจากผู้บริจาคทั่วโลก แล้วเวลาตั้งดาราที่มีชื่อเสียงมาเป็นทูตสันตวไมตรี ดาราพวกนี้จะก็จะถูกพาไปที่ค่ายผู้ลี้ภัย มีภาพทำกิจกรรมร่วมกันอย่าง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ โอบกอดกัน ออกมาเผยแพร่เพื่อใช้ในการระดมทุน มันก็ถูกที่ภาพแบบนี้มันขายได้ คนดูแล้วอยากควักกระเป๋า

แต่ปัญหาคือการฉายภาพผู้ลี้ภัยแบบเดียวแบบนี้ทำให้คนทั่วไปมีภาพจำที่ผิดเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย แล้วทำให้คนคิดว่าเรื่องผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าไม่ได้เดินทางไปตามตะเข็บชายแดนหรือพื้นที่ที่กันดารมาก ๆ คงไม่มีทางได้เจอผู้ลี้ภัยตัวเป็นๆแน่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะตามสถิติคือมากกว่า 60% ของผู้ลี้ภัยทั่วโลกคือ urban refugees หรือผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์คือผู้ลี้ภัยในค่ายตามภาพที่ UNHCR เอามาฉายให้เราดู

การลดทอนความหลากหลายของผู้ลี้ภัยในโลกมันทำให้ผู้ลี้ภัยประเภทอื่นๆอยู่ยากมาก เราเชื่อว่าผู้ลี้ภัยไทยทุกคนคงเคยเจอคำถามว่า ประเทศไทยไม่มีสงครามทำไมมีผู้ลี้ภัย เวลาเราพูดถึงผู้ลี้ภัยเราควรจะเน้นเรื่องผู้ลี้ภัยคือคนที่ไม่สามารถกลับประเทศบ้านเกิดได้เพราะความหวาดกลัวการถูกประหัตประหารตประหารหรือได้รับการคุกคามต่อชีวิตเนื่องจากสาเหตุข้อใดข้อหนึ่งจาก 5 ข้อนี้: เชื้อชาติ, สัญชาติ, ศาสนา, การเมือง, และ สมาชิกของกลุ่มทางสังคมใดๆ ไม่ใช่ไปโฟกัสที่ความจน ความอดอยาก ความน่าสงสาร

ซึ่งจริงๆแล้วผู้ลี้ภัยมีทั้งจนและรวยเหมือนคนทั่วไป คนที่ไม่มีเงินแล้วต้องลี้ภัยก็แน่นอนว่าควรได้รับการช่วยเหลือด้านปัจจัย 4 มากกว่าคนที่มีเงิน แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้ลี้ภัยทั้งรวยและจนต้องการคือ 'ความปลอดภัย' นี่คือเหตุผลที่พวกเราทั้งรวยและจนต้องลี้ภัยออกจากประเทศบ้านเกิดมา อีกอย่างที่ผู้ลี้ภัยต้องการมากที่สุดก็คือ 'สถานะผู้ลี้ภัย' เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เหมือนคนทั่วไป ผู้ลี้ภัยหลายคนที่เราเจอมีอาชีพการงานที่ดีในประเทศบ้านเกิด เป็นเภสัช เป็นวิศวกร เป็นครู แต่พอต้องลี้ภัยมา ความรู้พวกนี้ไม่สามารถเอามาใช้เลี้ยงชีพในประเทศที่ลี้ภัยไม่ได้เพราะยังไม่ได้สถานะ ไม่มีใครอยากจ้าง

https://web.facebook.com/photo/?fbid=2642568119341624&set=a.1544336229164824
 

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
Re: [5-11 มิถุนายน 2563]คนแสดง VS เจ้าของบทประพันธ์
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 03:32:34 PM »
คนแสดง VS เจ้าของบทประพันธ์



เมื่อแดเนียล เจ้าของบทแฮรี่พอตเตอร์ นิยายและหนังอมตะผลงานเจเคโรลริ่งได้พูดประโยคฉะแนวคิดของผู้สร้างบทประพันธ์ที่ตนเคยเล่นประหนึ่งผู้เล่นเกมส์ได้ฉะGM

แปลโดย karan
"คำพูดใดๆ ที่จะกลบตัวตนและศักดิ์ศรีของกลุ่มคนข้ามเพศนั้น ล้วนขัดแย้งต่อคำแนะนำของสมาคมผู้ดูแลด้านสุขภาพ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่า Jo (หมายถึง JK) หรือแม้แต่ตัวผมเอง"
"คำพูดแย่ๆ ลบศักดิ์ศรีของคนข้ามเพศ พวกนี้ ไร้ค่า เพราะคุณไม่รู้จริงเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข"

https://web.facebook.com/caocaofindguojia/posts/3326430127417890?comment_id=3326446447416258&notif_id=1591774550057479&notif_t=feedback_reaction_generic&ref=notif

อนึ่ง เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากกรณีเจเคโรงลิ่งเคยทวิตข้อความที่ดูล่อแหลมคาบเกี่ยวกับการเหยียดเพศไว้ ดังนี้...

เจเค กับการรังเกียจสาวประเภทสอง


เรื่องย่อ

คุณจะแต่งตัวยังไงก็ได้ เรียกตัวเองว่าอะไรก็ได้ นอนกับใครก็ได้ที่คุณตกลงด้วย มีชีวิตอย่างสันติสุขสบายและปลอดภัย แต่ผลักให้ผู้หญิงคนนึงตกงานเพราะยึดเพศกำเนิดเป็นหลักงั้นหรอ
//ขอสู้ข้างมายา //นี่ไม่ใช่การซ้อม

ขออธิบายว่า มายาในที่นี้ ที่กล่าวไปคร่าวๆ ข้างต้น ชื่อ "มายา ฟอร์สเทเทอร์ (Maya Forstater)" โดยเธอทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีที่สำนักงานแห่งหนึ่ง แต่ทางสำนักงานตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับมายาเพราะว่า ครั้งนึงนางเคยเขียนทวิทประมาณว่า "ผู้ชายไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงได้ และการกีดกันกะเทยนั้น เป็นการทำร้ายจิตใจผู้ชายอย่างยิ่ง (men cannot change into women, and that discrimination against transgender women can hurt mens feelings.)"

เราอาจจะเห็นเจเคสู้เพื่อสิทธิเกย์ ใช่ ก็จริง แต่เจเคจัดอยู่ในประเภท TERF ครับ ย่อมาจาก Trans-Exclusionary Radical Feminist แปลตรงตามตัวว่า "นักสิทธิสตรีหัวรุนแรงที่ไม่นับคนข้ามเพศเป็นพวกเดียวกัน" โดยปกติกลุ่มนี้จะหมายถึง นักสิทธิสตรีที่บอกว่า "ผู้ชายไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้ (กะเทย/หญิงข้ามเพศ/สาวสอง) เพราะไม่เคยลิ้มรสความเจ็บปวดของการเป็นผู้หญิง แต่ผู้หญิงเป็นผู้ชายได้ (ทรานส์แมน/ชายข้ามเพศ) เพราะเขาเคยเจ็บปวดมาก่อนจากการถูกกดทับในแบบผู้หญิง"

https://web.facebook.com/mugglethai.mt/photos/a.485801142410/10157026089627411/


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2020, 03:43:48 PM โดย Taw »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Diamos

ออฟไลน์ nosta

  • แม่ทัพหมีชั้นสูง
  • ***
  • กระทู้: 2,522
  • ถูกใจแล้ว: 1150 ครั้ง
  • ความนิยม: +106/-145
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] แฮรี่ VS เจเค [หน้า2 #33]
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 03:53:02 PM »
บ้านที่ไม่ใช่บ้าน

[img/]

เนื้อหาโดยย่อ

เคสนี้เป็นน้องผู้ชาย อายุ25ปี ซึ่งตอนนี้ บวชไม่ยอมสึก! เน้นว่า ไม่ ยอม สึก เกิดอะไรขึ้นกับเขา

ครอบครัวน้องเอ มีพ่อแม่ และพี่น้องรวมตัวเอง3คน โดยน้องเอเป็นพี่คนโต แม่น้องเอ จะเป็นคนเจ้าระเบียบ มีแบบแผนในชีวิต และเป็นคนเรียนจบสูงในครอบครัว ส่วนพ่อ เป็นพ่อค้าทั่วไป เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตในบ้าน จึงเรียนจบแค่ม.4แล้วออกมาช่วยงานครอบครัวเหมือนครอบครัวจีนอื่นๆ

ในตอนนั้น น้องเออยู่ชั้นประถม พ่อแม่สังเกตว่า น้องเอเรียนวิชาคณิตศาสตร์ดีมาก และวิชาอื่นๆก็เรียนได้ดีพอสมควร ด้วยความที่ว่า แม่น้องเอ เป็นคนเรียนสูง มีความรู้ เห็นว่าลูกเรียนดี เลยอยากผลักดันให้ลูกได้ดี

หนักๆเข้า ก็ปริ๊นสูตรคูณ หรือสูตรคณิตศาสตร์ยากๆ แปะไว้ตามผนังบ้าน แม้แต่ในห้องน้ำ แต่ตอนนั้น น้องก็ทำผลงานได้ดีดั่งใจแม่ สอบติดโอลิมปิกวิชาการ และได้เข้าไปอยู่ในระดับต้นๆ (คุ้นๆว่าจะได้เหรียญเงินซะด้วยนะ)

ในตอนนั้น แม่น้องเอเห็นว่า รร.เตรียม มีโควต้าสำหรับนักเรียนดีเด่นในแต่ละวิชา แม่น้องเอเลย เน้นให้ลูก เก่งสุดโต่งด้านเดียวไปเลย ซึ่งผลก็ออกมาตามใจคิด น้องเอ ติดเตรียมอุดม ได้เข้าไปเรียนสมใจแม่ แม่ให้น้องเอพักหอพักใกล้ๆ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง ยกเว้น ทีวี และคอมพิวเตอร์ แม่บอกว่า วันธรรมดา ให้ตั้งใจเรียน เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์ แม่จะพาไปเที่ยว ทีวีกับคอมไม่ต้องมีหรอก เดี๋ยวติดดูโน่นนี่ ไม่ตั้งใจเรียน จนกระทั่งน้องเอ แอบรู้ว่า แม่น้องเอให้นิติกรที่หอ สังเกตน้อง และแม่จะโทรมาถามนิติที่หอตลอดว่า น้องไปไหนมาบ้าง ทำอะไรบ้าง นอกลู่นอกทางมั้ย น้องรู้ แต่ไม่กล้าถามแม่ กลัวแม่ไม่ไว้ใจตัวเอง เลยทำตัวเองให้ดี ไม่ให้แม่ห่วง

จนกระทั่ง เรียนจนถึงม.6 เทอมสุดท้าย วิ่งสอบต่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แม่บอกน้องเอว่า ต้องเอาหมอหรือวิศวะไว้อันดับต้นๆนะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน น้องเอก็ทำตาม แต่สุดท้าย ประกาศผล น้องเอ สอบไม่ติด แม้แต่ที่เดียว! เกิดอะไรขึ้น!? เด็กโอลิมปิก ติดเตรียมเชียวนะ ทำไมสอบอะไรไม่ติดเลย หลังประกาศผล เมื่อพ่อแม่รู้ ก็รุมว่าลูก ทำไมทุ่มเทให้ตั้งเยอะแต่ไม่รักดี ไม่ตั้งใจเรียน

"ทำไมทำตัวโหลยโท่ยอย่างนี้"

น้องก็รอสอบใหม่อีกปี เพราะแม่ต้องการให้น้องสอบติดหมอให้ได้ แต่สุดท้าย ในปีนั้น ก็ไม่ติดอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กเรียนเก่งขนาดนั้น สุดท้าย แม่น้องเอมาปรึกษาแอดมิน เนื่องจากเห็นว่าแอดมินสอบติดหมอเลยอยากให้ลองคุยกับน้องหน่อยว่ามีเคล็ดลับอะไร

"แล้วไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้เล่นคอม พอเวลาเรียน ก็คุยกับใครเขาไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ว่า ไปอยู่หลังเขาไหนมา ก็ไม่กล้าบอกว่า ไม่มีทีวี"

"นิติกรก็ถามจัง เป็นสปายให้แม่ แล้วแม่จะส่องดูไปไหน ไม่ไปเสพยาหรอกน่ะ ส่องอยู่นั่นแหละ อึดอัด"

"แล้วเพื่อนเขาเรียนเก่งๆทั้งนั้น ผมเก่งแต่วิชาเลข เข้าไปเรียนถึงได้รู้เลยว่า ผมแม่งโง่ เก่งแค่เลข วิชาอื่นโง่กว่าเด็กมอต้นอีก"

"ผมไม่อยากเป็นหมอ ไม่อยากเป็นวิศวะ ไม่เอาแล้วไม่อยากเรียนอะไรที่ต้องอ่านหนังสือแล้ว อยากไปเรียนนิเทศ อยากไปเป็นทหารให้รุ้แล้วรู้รอด"

นี่คือประโยคที่บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจน้องเอได้อย่างดี

สุดท้าย น้องเอ สอบติดวิศวะ สาขาควบคุม แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตเหลวแหลก กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวหญิง ทำทุกอย่างที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้ทำ! สุดท้าย ถูกรีไทร์ เพราะสอบติดFแล้วไม่สนใจไปแก้ หลังถูกรีไทร์ แอดมินได้มีโอกาสคุยกับน้องอีกรอบ น้องบอกว่า รู้สึกว่าทุกอย่าง เกิดขึ้น เพราะแม่ ไม่อยากทำอะไรให้แม่แล้ว เบื่อมันไปทุกอย่าง ไม่อยากกลับบ้าน อยากเที่ยวอยากให้ชีวิตให้คุ้ม แล้วก็ตายๆไปซะ

สุดท้าย ถึงจุดที่ตกต่ำสุดในชีวิต และมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ แต่สายไปแล้ว น้องเอจึงขอบวชตลอดชีวิต(ไม่ขอเล่าถึง เหตุการณ์ไม่ค่อยตรงประเด็นของโพสต์นี้)

ต้นทาง https://web.facebook.com/photo?fbid=147327143557992&set=a.116096370014403

อนึ่ง บางคนในเมนท์ต้นทางยังโทษเออยู่เลย นี่แหละนะมายด์เซทไทยๆที่พ่อแม่ถูกเสมอ ทำผิดคือเรื่องหยวนๆได้ ลูกทำผิดประนามยิ่งกว่าอาชญากรข่มขืน นึกถึงพวกที่อ้างเรื่องหาเงินเลี้ยงคือฝ่ายถูก ใช่...เงินพ่อแม่ แต่นั่นก็หน้าที่อยู่แล้วทั้งโดยกฎหมายและโดยศีลธรรม คนเป็นพ่อแม่เค้าเลือกลูกที่จะมาเกิดได้ ได้เพศที่ไม่ต้องการ เกิดจากคนที่ไม่ต้องการก็ทำแท้งไม่ก็ยกให้สถานรับเลี้ยงได้ แต่คนเป็นลูกมันเลือกเกิดไม่ได้ไงว่าจะเกิดครอบครัวแบบไหน


เแาจริงๆมันควรจะเลือกทางสายกลางนะ ไม่ให้เด็กได้เล่นเลย มันก็จะระเบิดออก แต่ถ้าสปอยเกิน จะออกเป็นแว้นสก๊อย ต้องบังคับบ้างปล่อยเด็กเล่นบ้าง

เพื่อนบ้านยิ่งโต​ ยิ่งเจริญ​ ยิ่งเป็นผลดีกับไทย กลัวอะไรกับการเห็นประเทศเพื่อนบ้านพร้อมใจพัฒนา?

[img/]

เนื้อหาโดยย่อ
หมายเหตุ : นี่ไม่ใช่ข้อความของข้าพเจ้าเอง หากแต่เป็นข้อความที่ผมตัดต่อมาจากต้นทางอีกทีนึง

ที่ผมเขียนโพสต์​นี่ก็เพียงจะชวนแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องความเจริญของประเทศเพื่อนบ้าน​ คือ​ผมไม่ได้กลัวเพื่อนบ้านเจริญหรือแซงเราเลยด้วยซ้ำ​ ผมสนับสนุนให้เขาโตเสียทีอีกด้วย​ เพราะยิ่งเขาเจริญเท่าไหร่​ มันยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทย​ในหลายๆ​ มิติ​ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาสังคม​ที่มันจะลดมุมมองการด้อยค่าของมนุษย์ลงได้มาก​ ปัญหาขอทาน​ ปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหาการค้าแรงงานมนุษย์ก็จะลดลงด้วย​ เพราะใครจะมาทนให้โดนกดขี่ใช้งานเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ต่างบ้านต่างเมืองล่ะ​ ถ้าอยู่บ้านเกิดสบายๆ​

ส่วนเรื่อง GDP เนี่ยก่อนจะเอามาอ้างอิงเปรียบเทียบว่า​ GDP​ สูงคือต้องแซง​ คนที่ชอบยกมาอ้างบ่อยๆ​ คุณควรไปทำความเข้าใจมาดีๆ ก่อนยก GDP มาอ้างอิงนะ​ เพราะการที่ GDP โตไม่ได้หมายความว่าจะเจริญไว ไม่งั้นประเทศที่​ GDP ต่ำๆ ก็คงล้าหลังหมด​

ลาว​ กัมพูชา GDP โต 9% ฟิลิปปินส์เคยโตสูงสุดถึง​7% อินโดนีเซียก็โต 7% ติดต่อกันหลายปี ส่วนไทยโต 3% บ้าง 4% บ้างติดๆ กันมาหลายปี เพราะเจอหลุมการเมือง เจอวิกฤตเศรษฐกิจ​ เจอมรสุม​สารพัดรุมเร้า แต่ทำไมฐานรายได้และมูลค่าเศรษฐกิจ​ของไทยยังสูงขึ้นต่อเนื่องล่ะ ไม่แปลกใจบ้างเหรอ?

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า​ ตราบใดที่ประเทศเหล่านี้เติบโต ไทยก็โตตามไปด้วยจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และในขณะที่ไทยโตขึ้น มาเลเซีย​ สิงคโปร์ก็โตตามกันไป ฐานมันขยับขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นห่วงโซ่อุปทานมันเกี่ยวเนื่องกันทั้งภูมิภาค

สำหรับประเทศเวียดนามที่คนชอบเอามาพูดเปรียบเทียบคือ​ เรื่องผังเมืองที่ดี มรดกจากการวางรากฐานไว้โดยฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ที่มันช่วยจัดระบบโซนนิ่งเมือง​รองรับการเติบโตในอนาคตได้ แต่ตัวเร่งที่ทำให้ประเทศเติบโตมันไม่ใช่แค่ผังเมืองเท่านั้น ตอนนี้เวียดนามยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมอะไรที่จะไปสู่จุดที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เวียดนามยังเป็นผู้รอรับการลงทุนจากต่างชาติในเรตค่าแรงราคาถูก และการได้สิทธิพิเศษทางการค้าเรื่องภาษีจาก FTA แต่ยังไม่มีการส่งเสริมเรื่อง R&D อย่างจริงจังด้วยซ้ำ

ลองมองอย่างเปิดตาเปิดใจไร้อคติจริงๆ​ ดูสิว่า​ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 - 2563
1. ประเทศตลอด​ 20​ ปีที่ผ่านมามันไม่เดินหน้าอย่างที่หลายคนมักพูดจริงๆ หรือไม่?
2. มองเข้ามาใกล้ตัวอีกว่า​ รายได้ต่อเดือนของคุณเมื่อ​ 20​ ปีที่แล้วมันไม่เพิ่มขึ้นจริงเหรอ​? และถ้ามันไม่เพิ่มแต่คนอื่นเพิ่ม​ สรุปเป็นที่ตัวเองหรือเป็นที่ตรงไหน​?
3. เราไม่มีโครงการพื้นฐานการพัฒนาประเทศใหม่ๆ​ เลยเหรอ?​
4. ไม่มีการกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคเลยเหรอ?​
5. สิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ไม่มีเลยเหรอ?​
6. หรือแค่เพราะตัวเองยังจนอยู่เพราะใช้ชีวิตแบบเดิมๆ​ ทำแบบเดิมๆ​ แต่หวังว่าจะเกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ​ ที่ดีกว่า​ แต่พอไม่รู้สึกว่าชีวิตพัฒนาก็เลยมองทุกอย่างไม่พัฒนาไปหมด​ เพียงเพราะตัวเองไม่รวยขึ้น?

ถ้าศึกษาเรื่องการลงทุนในเวียดนามดีๆ จะรู้เลยว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่เคยเป็นของเวียดนามหลายธุรกิจ​ ถูกขายให้ต่างชาติเพียบ เพราะกฎหมายการลงทุนของเวียดนามต่างจากไทย เพราะสามารถให้สิทธิ์ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ส่วนไทยห้ามต่างชาติถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนต้องไม่เกิน 50% เท่านั้น บริษัทด้านค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโถค และเกษตรกรรม ตกเป็นของไทยเกือบหมด​ ซึ่งทั้งเจ้าสัว​ไทยเบฟฯ และเจ้าสัว CP ก็ซื้อกิจการขนาดใหญ่ของเวียดนามไว้หมดแล้วครับ​ แทบจะกินรวบทั้งห่วงโซ่

ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิก​ ยานยนต์ ก็เป็นตลาดของเกาหลีที่กวาดไปทั้งอุตสาหกรรม​ อสังหาฯ​ ก็ทุนจีน​ - เกาหลี แม้แต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาประเทศ​ เช่น​ ไฟฟ้า​ ถนน​ รถไฟฟ้า​ โรงพยาบาล​ ยังมีกลุ่มทุนจีนและไทย​ เกาหลี​ ญี่ปุ่น​ กว้านซื้อกิจการไว้เช่นกัน

ปัญหาคือ​ เอกชนเวียดนามก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะท้าชนกับบิ๊กเนมจากต่างชาติได้​ และถ้าเวียดนามไม่ปกป้องธุรกิจในประเทศของตัวเองหรือสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจภายในเพื่อแข่งขันกับต่างชาติ มันไม่ง่ายที่จะโตแซงใคร เพราะกว่าเวียดนามจะขึ้นมาจี้ท้ายตามไทยได้​ เวียดนามต้องแซงฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย​ให้ได้เสียก่อน ยิ่งอินโดนีเซีย​ คืองานหินของเวียดนาม ทั้งขนาดเศรษฐกิจและการลงทุน ถ้าผ่านมาได้ค่อยมาเจอกับไทย

ส่วนไทยแม้จะยังไม่ได้มีแบรนด์​ที่รู้จักในวงกว้างระดับโลกก็ตาม​ แต่แบรนด์​ไทยมีนวัตกรรมที่ต่อยอดจากการเรียนรู้จากประเทศผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีจนสร้างแบรนด์​ตัวเองขายได้ในระดับเอเชีย​ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า​ ​ห้างค้าปลีก​ แฟชั่น​ หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่แม้แต่คนไทยเองยังไม่รู้เลยว่านี่คือของไทยแท้ๆ​ 100% แต่เป็นชื่อภาษาต่างประเทศ​ เพราะมันจะต้องขายไปทั่วโลก​ และตลาดในไทยคนอาจจะไม่นิยม​ แต่มันไปนิยมที่ต่างประเทศให้พรึบ​ เพราะคนไทยก็ยังติดภาพของไทยไม่ดี​ ไม่สนับสินสินค้าไทย​ แต่หารู้ไม่ว่าในตลาดระดับเอเชีย​ และตลาดโลกมันขายได้อย่างสวยงาม

ดังนั้นหากเปลี่ยนทัศนคติ​คนไทยเรื่องการใช้แบรนด์​ไทยแทนแบรนด์​นอกไม่ได้ฉันใด​ คนในประเทศ​เพื่อนบ้านก็เปลี่ยนทัศนคติมาใช้แบรนด์​ตัวเองแทนแบรนด์​ไทยไม่ได้ฉันนั้น​ เพราะสมองมันถูกฝังไปแล้วว่า​ ของไทย=ของดี=ของมีคุณภาพ

สุดท้ายนี้อยากบอกว่า​ ผมก็ยืนยันว่าเพื่อนบ้านควรเจริญ​ เจริญให้ได้มากที่สุด​ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศตัวเองและคู่ค้าอย่างไทย​ และการชื่นชมเพื่อนบ้านไม่ใช่เรื่องผิด​ หรือชังชาตินะ​ แต่ขอให้รู้ข้อมูลที่จริง​ รู้ในระดับสถิติ​ ตัวเลข​ โครงสร้างสังคม​ หรือแม้แต่สัดส่วนการครองส่วนแบ่งทางการตลาด​ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างที่สื่อชอบอวยกันไหม​ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อกันง่ายๆ​ เวลาอ่านข่าวที่เต็มไปด้วยสำนวน​ "ตีหัวเข้าบ้าน"

https://web.facebook.com/photo?fbid=1463629310476056&set=a.187089878130012

เรื่องนี้ผมมองว่าการมีตัวเปรียบเทียบเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่การเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านแบบที่คนไทยนิยมไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ดีเท่าไหร่ เพราะ อาเซียนส่วนมาก ค่าแรงต่ำกว่า ทำให้พัฒนาได้เร็วกว่าจากความได้เปรียบด้านค่าแรง สิงคโปร์ อัตราการเติบโตไม่สูงทั้งที่ประเทศโครตดี

อีกตัววัดนึงคือเทียบกับอัตราเติบโตในอดีต แต่ก็มีคนแย้งว่า สมัยก่อนค่าแรงถูกเติบโตง่าย และมีเรื่องเศรษฐกิจโลกอีก

ตัวชี้วัดที่ดีที่สุดคือ ประเทศที่รายได้ต่อหัวไกล้เคียงเรา ไม่มีความได้เปรียบจากค่าแรงที่ถูก และทุกประเทศได้รับผลจากเศรษฐกิจโลกเช่นกัน ดูอันดับ gdp ต่อหัวว่าดีขึ้นหรือแย่ลง เพื่อตัดสินว่าคนในประเทศเราทำได้ดีหรือแย่ขนาดไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2020, 04:15:47 PM โดย nosta »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: Taw

ออนไลน์ pol

  • สาวกผู้สนับสนุนเซนนิคุง2Y
  • จอมทัพหมีชั้นสูง
  • ***
  • กระทู้: 17,233
  • ถูกใจแล้ว: 20002 ครั้ง
  • ความนิยม: +361/-2
  • เพศ: ชาย
  • นักอู้มือหนึ่ง
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] แฮรี่ VS เจเค [หน้า2 #33]
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 04:09:53 PM »
คนแสดง VS เจ้าของบทประพันธ์

[img/]

เมื่อแดเนียล เจ้าของบทแฮรี่พอตเตอร์ นิยายและหนังอมตะผลงานเจเคโรลริ่งได้พูดประโยคฉะแนวคิดของผู้สร้างบทประพันธ์ที่ตนเคยเล่นประหนึ่งผู้เล่นเกมส์ได้ฉะGM

แปลโดย karan
"คำพูดใดๆ ที่จะกลบตัวตนและศักดิ์ศรีของกลุ่มคนข้ามเพศนั้น ล้วนขัดแย้งต่อคำแนะนำของสมาคมผู้ดูแลด้านสุขภาพ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่า Jo (หมายถึง JK) หรือแม้แต่ตัวผมเอง"
"คำพูดแย่ๆ ลบศักดิ์ศรีของคนข้ามเพศ พวกนี้ ไร้ค่า เพราะคุณไม่รู้จริงเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข"

https://web.facebook.com/caocaofindguojia/posts/3326430127417890?comment_id=3326446447416258&notif_id=1591774550057479&notif_t=feedback_reaction_generic&ref=notif

อนึ่ง เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากกรณีเจเคโรงลิ่งเคยทวิตข้อความที่ดูล่อแหลมคาบเกี่ยวกับการเหยียดเพศไว้ ดังนี้...

เจเค กับการรังเกียจสาวประเภทสอง
[img/]

เรื่องย่อ

คุณจะแต่งตัวยังไงก็ได้ เรียกตัวเองว่าอะไรก็ได้ นอนกับใครก็ได้ที่คุณตกลงด้วย มีชีวิตอย่างสันติสุขสบายและปลอดภัย แต่ผลักให้ผู้หญิงคนนึงตกงานเพราะยึดเพศกำเนิดเป็นหลักงั้นหรอ
//ขอสู้ข้างมายา //นี่ไม่ใช่การซ้อม

ขออธิบายว่า มายาในที่นี้ ที่กล่าวไปคร่าวๆ ข้างต้น ชื่อ "มายา ฟอร์สเทเทอร์ (Maya Forstater)" โดยเธอทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีที่สำนักงานแห่งหนึ่ง แต่ทางสำนักงานตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับมายาเพราะว่า ครั้งนึงนางเคยเขียนทวิทประมาณว่า "ผู้ชายไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงได้ และการกีดกันกะเทยนั้น เป็นการทำร้ายจิตใจผู้ชายอย่างยิ่ง (men cannot change into women, and that discrimination against transgender women can hurt mens feelings.)"

เราอาจจะเห็นเจเคสู้เพื่อสิทธิเกย์ ใช่ ก็จริง แต่เจเคจัดอยู่ในประเภท TERF ครับ ย่อมาจาก Trans-Exclusionary Radical Feminist แปลตรงตามตัวว่า "นักสิทธิสตรีหัวรุนแรงที่ไม่นับคนข้ามเพศเป็นพวกเดียวกัน" โดยปกติกลุ่มนี้จะหมายถึง นักสิทธิสตรีที่บอกว่า "ผู้ชายไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้ (กะเทย/หญิงข้ามเพศ/สาวสอง) เพราะไม่เคยลิ้มรสความเจ็บปวดของการเป็นผู้หญิง แต่ผู้หญิงเป็นผู้ชายได้ (ทรานส์แมน/ชายข้ามเพศ) เพราะเขาเคยเจ็บปวดมาก่อนจากการถูกกดทับในแบบผู้หญิง"

https://web.facebook.com/mugglethai.mt/photos/a.485801142410/10157026089627411/

[img/]

ใจเย็นๆโยม ???  ท่านไปอ่านดูให้ดีก่อนเจเคไม่ได้เหยียดเพศที่3แต่นางบอกว่าเพศที่3ไม่ใช่ผู้หญิงแค่นั้นเอง
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: nosta, Taw

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] แฮรี่ VS เจเค [หน้า2 #33]
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 04:12:12 PM »
[quote/] ใจเย็นๆโยม ???  ท่านไปอ่านดูให้ดีก่อนเจเคไม่ได้เหยียดเพศที่3แต่นางบอกว่าเพศที่3ไม่ใช่ผู้หญิงแค่นั้นเอง

ผมก็ไม่ใช่ว่าจะฟันธงไปว่าเจเคแกเหยียดเพศนะ ผมใส่คำว่า "ล่อแหลม" เอาไว้ เพราะว่ามีคนเข้าใจไปทางนั้นเยอะมากจริงๆ ส่วนข้อความยาวๆคือกอปจากแหล่งอ้างอิงประกอบการพิจารณาเฉยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2020, 05:51:28 PM โดย Taw »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: pol

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] แฮรี่ VS เจเค [หน้า2 #33]
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 04:23:46 PM »
เมื่ออนุสาวรีย์ของวีรบุรุษถูกโค่น เบลเยียมถอดรูปปั้นกษัตริย์เลออปอลที่ 2 ซึ่งถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติ



เนื้อเรื่องโดยย่อ
หมายเหตุ : เป็นข้อความที่ Copy มาจากต้นทางแล้วเอามาตัดย่อเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของข้าพเจ้าเอง

จากกรณีของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำ ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ถูกตำรวจฆ่า สู่กระแสต่อต้านการเหยียดผิว และเชื้อชาติ ที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก หลายประเทศเองยังได้กลับไปพูดถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตเคยมีส่วนกับการค้าทาส เหยียดสีผิว และกลับไปทำลายรูปปั้นต่างๆ ที่ยกย่องบุคคลเหล่านั้น

โดยล่าสุด รูปปั้นของกษัตริย์ เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม ที่มีอายุกว่า 150 ไป ได้ถูกถอดออกจากจัตุรัสสาธารณะในเมืองแอนต์เวิร์ปแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งกษัตริย์พระองค์นี้ ได้ใช้กองกำลังยึดครองประเทศคองโกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ใช้ระบอบการปกครองที่เอาเปรียบ ซึ่งนำสู่การเสียชีวิตของคนผิวดำหลายล้านคน ท่ามกลางกระแสต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และสีผิวที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ที่ผ่านมา ชาวเบลเยียมได้รับการศึกษาว่า ประเทศมีส่วนในการนำอารยธรรมมาสู่ภูมิภาคแอฟริกา และกษัตริย์เลออปอลที่ 2 เอง ก็ได้ถูกยกย่องในฐานะผู้วางรากฐาน ซึ่งถนน และสวนสาธารณะหลายแห่งเองก็ได้รับการตั้งชื่อตามพระองค์ รวมถึงรูปปั้นของกษัตริย์เอง ยังสามารถพบได้ทั่วประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวเบลเยียม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เอง ต่างก็เพิ่มแรงกดดันให้ประเทศเผชิญหน้ากับมรดกจากประวัติศาสตร์ด้วย ซึ่งเบลเยียมก็เป็นส่วนหนึ่งในลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป

สัปดาห์ที่ผ่านมา รูปปั้นกษัตริย์ในแอนต์เวิร์ปถูกจุดไฟเผา และรูปปั้นอีกแห่งที่เมืองเกนต์ก็ถูกทาด้วยสีแดง ผู้ชุมนุมบางคนยังปีนขึ้นไปบนรูปปั้น โบกธงสาธารณประชาธิปไตยคองโก ตะโกนคำว่า “ฆาตกร” และ “ต้องชดใช้” ออกมาด้วย โดยในวันอังคารที่ผ่านมา มีชาวเบลเยี่ยมกว่า 65,000 คน ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอเรียกร้องให้มีการรื้อถอนอนุสาวรีย์กษัตริย์พระองค์นี้ทั่วประเทศ

แต่ถึงอย่างนั้น โฆษกนายกเทศมนตรี ก็ระบุว่า รูปปั้นของกษัตริย์ไม่ได้ถูกถอดเพราะการประท้วง แต่การทิ้งให้รูปปั้นเสียหายในสถานที่นั้น จะเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยสาธารณะ และรูปปั้นจะถูกย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์ Middelheim แทน

https://web.facebook.com/thematterco/photos/a.1735876059961122/2607432362805483
 

ออฟไลน์ Diamos

  • นักปราชญ์แห่งเขาเซนนิคุมะ
  • ยอดขุนพลหมี
  • *****
  • กระทู้: 5,014
  • ถูกใจแล้ว: 29939 ครั้ง
  • ความนิยม: +446/-110
  • เพศ: ชาย
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] ปลดรูปปั้นบุคคลสำคัญ [หน้า2 #37]
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 05:03:32 PM »
เมื่ออนุสาวรีย์ของวีรบุรุษถูกโค่น เบลเยียมถอดรูปปั้นกษัตริย์เลออปอลที่ 2 ซึ่งถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติ

[img/]

เนื้อเรื่องโดยย่อ
หมายเหตุ : เป็นข้อความที่ Copy มาจากต้นทางแล้วเอามาตัดย่อเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็นของข้าพเจ้าเอง

จากกรณีของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำ ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ถูกตำรวจฆ่า สู่กระแสต่อต้านการเหยียดผิว และเชื้อชาติ ที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก หลายประเทศเองยังได้กลับไปพูดถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตเคยมีส่วนกับการค้าทาส เหยียดสีผิว และกลับไปทำลายรูปปั้นต่างๆ ที่ยกย่องบุคคลเหล่านั้น

โดยล่าสุด รูปปั้นของกษัตริย์ เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม ที่มีอายุกว่า 150 ไป ได้ถูกถอดออกจากจัตุรัสสาธารณะในเมืองแอนต์เวิร์ปแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งกษัตริย์พระองค์นี้ ได้ใช้กองกำลังยึดครองประเทศคองโกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ใช้ระบอบการปกครองที่เอาเปรียบ ซึ่งนำสู่การเสียชีวิตของคนผิวดำหลายล้านคน ท่ามกลางกระแสต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และสีผิวที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ที่ผ่านมา ชาวเบลเยียมได้รับการศึกษาว่า ประเทศมีส่วนในการนำอารยธรรมมาสู่ภูมิภาคแอฟริกา และกษัตริย์เลออปอลที่ 2 เอง ก็ได้ถูกยกย่องในฐานะผู้วางรากฐาน ซึ่งถนน และสวนสาธารณะหลายแห่งเองก็ได้รับการตั้งชื่อตามพระองค์ รวมถึงรูปปั้นของกษัตริย์เอง ยังสามารถพบได้ทั่วประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวเบลเยียม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เอง ต่างก็เพิ่มแรงกดดันให้ประเทศเผชิญหน้ากับมรดกจากประวัติศาสตร์ด้วย ซึ่งเบลเยียมก็เป็นส่วนหนึ่งในลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป

สัปดาห์ที่ผ่านมา รูปปั้นกษัตริย์ในแอนต์เวิร์ปถูกจุดไฟเผา และรูปปั้นอีกแห่งที่เมืองเกนต์ก็ถูกทาด้วยสีแดง ผู้ชุมนุมบางคนยังปีนขึ้นไปบนรูปปั้น โบกธงสาธารณประชาธิปไตยคองโก ตะโกนคำว่า “ฆาตกร” และ “ต้องชดใช้” ออกมาด้วย โดยในวันอังคารที่ผ่านมา มีชาวเบลเยี่ยมกว่า 65,000 คน ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอเรียกร้องให้มีการรื้อถอนอนุสาวรีย์กษัตริย์พระองค์นี้ทั่วประเทศ

แต่ถึงอย่างนั้น โฆษกนายกเทศมนตรี ก็ระบุว่า รูปปั้นของกษัตริย์ไม่ได้ถูกถอดเพราะการประท้วง แต่การทิ้งให้รูปปั้นเสียหายในสถานที่นั้น จะเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยสาธารณะ และรูปปั้นจะถูกย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์ Middelheim แทน

https://web.facebook.com/thematterco/photos/a.1735876059961122/2607432362805483


อันนี้น่าคิดนะ


เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน แนวคิดเปลี่ยน


วีรบุรุษในอดีตผู้ตีเมืองเอาชัยให้บ้านเมือง ก็มีสิทธิ์ถูกมองว่าเป็นวายร้าย หรือฆาตกรหมู่ในอนาคตได้เช่นกัน  ;)
สถาปนิก, นักออกแบบและสร้างสรรค์เพื่อเหล่าหมีผู้น่ารัก
โครงการนิยายแต่ง หน้าหลัก;Age of War;DSU Board
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: nosta

ออนไลน์ pol

  • สาวกผู้สนับสนุนเซนนิคุง2Y
  • จอมทัพหมีชั้นสูง
  • ***
  • กระทู้: 17,233
  • ถูกใจแล้ว: 20002 ครั้ง
  • ความนิยม: +361/-2
  • เพศ: ชาย
  • นักอู้มือหนึ่ง
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] ปลดรูปปั้นบุคคลสำคัญ [หน้า2 #37]
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 05:13:24 PM »
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเพศที่3ในยุคนี้มีอยู่2เรื่องหลักๆ(ความคิดของผมนะ) 1 อยากให้เปลี่ยนคำนำหน้าในบัตรประชาชนว่าเป็นผู้หญิง ไม่แฟร์ครับนี่เป็นการหลอกลวงผู้ชายที่อยากแต่งงานกับผู้หญิงชัดๆ. 2 วงการกีฬาเข้าไปแข่งกับผู้หญิง ไม่แฟร์ครับพื้นฐานร่างกายคุณเป็นผู้ชายเป็นการเอาเปรียบผู้หญิงชัดๆ ทำไมไม่ไปแข่งกับผู้ชายละ?
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: daijobu, Taw

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] ปลดรูปปั้นบุคคลสำคัญ [หน้า2 #37]
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2020, 05:57:35 PM »
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเพศที่3ในยุคนี้มีอยู่2เรื่องหลักๆ(ความคิดของผมนะ) 1 อยากให้เปลี่ยนคำนำหน้าในบัตรประชาชนว่าเป็นผู้หญิง ไม่แฟร์ครับนี่เป็นการหลอกลวงผู้ชายที่อยากแต่งงานกับผู้หญิงชัดๆ. 2 วงการกีฬาเข้าไปแข่งกับผู้หญิง ไม่แฟร์ครับพื้นฐานร่างกายคุณเป็นผู้ชายเป็นการเอาเปรียบผู้หญิงชัดๆ ทำไมไม่ไปแข่งกับผู้ชายละ?

ตรงเรื่องเปลี่ยนคำนำหน้าผมเองก็ไม่เห็นด้วยนะ เพราะมันไม่แฟร์อย่างที่คุณว่าจริงๆ ไม่งั้นผู้ชายมีแฟนสาวทีคงต้องผ่านกระบวนการเชคอีกว่าสาวแท้หรือสาวดุ้น กลายเป็นสาวๆ(สาวแท้)มาดราม่าเต็มเวปสาธารณะอีกว่าแฟนหนุ่มไม่ไว้ใจ แล้วสังคมสมัยนี้นี้ยิ่งแต่กดดันให้ผู้ชายสุภาพบุรุษจ๋าแถมไม่ค่อยได้รับการคุ้มครองอีก(นอกจากเคสนี้ก็กรณีผู้ชายเป็นเหยื่อข่มขืน ก็โดนเอาไปล้อขำๆน้อยคนที่จะออกมาเห็นใจจริงๆ) สุดท้ายโทษผู้ชายว่ารักไม่จริง รักแค่ภายนอกทั้งที่เขามีสิทธิเลือกว่าจะรักกับใครเพศไหน ไม่ตรงสเปกก็มีสิทธิแยกทางได้

ส่วนเรื่องสาวสองแข่งกีฬาก็น่าทำเป็นแบบทิฟฟานี่ไปเลย คือแยกประเภทกันไปเป็นอีกประเภทถ้าไม่อยากรวมกับชายจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2020, 05:59:30 PM โดย Taw »
 
เหล่าหมีที่ถูกใจสิ่งนี้: pol

ออฟไลน์ Taw

  • หัวหน้าฝูงหมีใหญ่
  • *****
  • กระทู้: 1,352
  • ถูกใจแล้ว: 584 ครั้ง
  • ความนิยม: +47/-605
Re: [5-11 มิถุนายน 2563] ปลดรูปปั้นบุคคลสำคัญ [หน้า2 #37]
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2020, 08:09:14 PM »
Emma Watson นักแสดงชื่อดังออกมาทวิตถึงกลุ่ม Transgender



“..กลุ่มคนข้ามเพศ (ทรานส์ฯ) คือคนที่สมควรจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเค้าต้องการ โดยปราศจากการถูกตั้งถามบ่อยๆหรือบอกพวกเค้าว่า เค้าไม่ใช่คนที่พวกเค้าเป็น
ฉันต้องการให้แฟนๆกลุ่มทรานส์ฯของฉันทุกคนที่ติดตามฉันทราบว่า ฉันและคนอีกหลายคนทั่วโลก เคารพ และรักในตัวตนที่คุณเป็น..”

- เอ็มม่า วัตสัน -



https://web.facebook.com/Nunoiduak/photos/a.643102635723085/3361652960534692/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 11, 2020, 08:18:56 PM โดย Taw »
 

 

Tags:
แหล่งนิยายแปล แหล่งนิยาย นิยายแปล นิยายแต่ง มังงะ การ์ตูน อนิเมะ นายท่าน เว็บไซต์นายท่าน กระทู้สไลม์ สไลม์ยอดรัก