ผมว่าก่อนจะพูดว่าเรือดำน้ำซ่อนได้หรือไม่ควรดูก่อนนะครับว่าอ่าวไทยลึกแค่ไหนแน่นอนว่าเรือดำน้ำมันไช้รบได้ดี แต่ขั้นแรกคือต้องออกจากอ่าวไทยไปรบที่อื่นหมายความว่าต้องมีประเทศอื่นรบแล้วขอกำลังเราไปช่วยครับ ถ้าแนวป้องกันอ่าวไทยเรือดำน้ำผมว่ามันแทบจะไม่ซ่อนตัวจากเรด้าของเรือหาปลาด้วยซ้ำ ไอ้เรือดำน้ำที่ไช้งานได้แค่สามอาทิตนี่มันครึ่งๆกลางๆไปหน่อย และผมคิดว่าเราควรปรับปรุงกองเรือไทยแบบจริงจังครับและตัวเลือกแรกไม่ควรเป็นเรือดำน้ำ ตัวเลือกแรกควรเป็นเรือบรรทุกเครืองบินก่อนและพวกเรือต่อต้านแบบที่ซื้อมาจากเกาหลี เรือคุ้มกันเรือลาดเวร นี่ของพวกนี้ควรมีก่อนเรือดำน้ำ
อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมกลับมองสิ่งที่เรียกว่า MOOTW หรือ ชื่อเต็มว่า Military Other Action Than Wars
ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเรือจักรีนฤเบศร์เป็นเรือทีมีประโยชน์มากโดยเฉพาะใช้ในงานที่ไม่ใช่งานด้านรบเพียงอย่างเดียว เช่น ช่วยขนของสำหรับผู้ประสบภัย ขนย้ายคนได้คราวทีละมากๆทางน้ำ ฯลฯ
ด้านการเมืองการปกครองอดีตจนปัจจุบัน รวมทั้งด้านการทหาร และเป็นหลักการของหมากล้อม คือ "เดินให้มีทางออกสองทางขึ้นไปเสมอ" หรือ "จงพยายามฆ่านกสองตัวให้ได้โดยกระสุนเพียงนัดเดียว"
หรือ "จงหาประโยชน์ให้ได้มากกว่าสองทุกตาเดิน"
พูดง่ายๆ คือ จงมองภาพรวม อย่ามองแค่มิติเดียวตรงหน้า
คำถามทำไมผมถึงเลือกเรือบรรทุกเครื่องบินมากกว่าเรือดำน้ำ เพราะ เวลา 99% นั้นไม่ได้ทำสงครามจริงๆ
ดังนั้นการทิ้งมันเอาไว้โดยไม่ได้ใช้เท่ากับปล่อยให้ค่าเสื่อม(Depreciation) กัดกินเครื่องจักรที่ถือเป็นทรัพย์สินนั้นอย่างน่าเศร้า
ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ เรือบรรทุกเครื่องบินสามารถเอาเครื่องบินออกเปลี่ยนตัวมันกลายเป็นเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่บรรจุสิ่งของจำเป็นได้จำนวนมาก หรือขนผู้อพยพประสบภัยได้
ในภาวะสงคราม กลยุทธ(Tactic)ของเรือบรรทุกเครื่องบินนั้นทำได้หลากหลายกว่ามาก ขึ้นอยู่การปรับเปลี่ยนเครื่องบินที่ใช้และวิธีการดำเนินกลยุทธ
สามารถกลายเป็นส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดก็ได้ หรือ เปลี่ยนเป็นเครื่องบินต่อสู้อากาศยาน หรือ กลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวลอยน้ำ
หรือ ถ้าจะให้ผมพูดคือ มี"อรรถประโยชน์(Ultility) เหนือกว่าเรือดำน้ำอย่างเทียบไม่ได้ ที่ทำได้แค่ทำลายเรือบนผิวน้ำ กับ ต่อสู้กับเรือดำน้ำด้วยกัน ไม่สามารถสนับสนุนการโจมตีกองทัพบก เรือ อากาศได้เลย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมมองว่าเรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มค่ากว่ามาก ในแง่ทั้งภาวะสงครามและภาวะสงบ