@sariora123 ส่วนตัวผมเข้าใจว่าตอนแรกๆ ยังทำอะไรมากไม่ได้ Deep state(รัฐบาลเงา กลุ่ม FBI และ CIA ทั้งหลาย ซึ่งเจ้าหน้าที่หลายคนที่ออก CNN พูดชัดเจนเลยว่าปธน.นั้นมาแล้วไปแต่พวกเขานั้นคือคนที่จะคงอยู่ตลอดไป)ยังคงอำนาจอยู่มาก ช่วงแรกนี่เป็นเทศกาลแบ่งเค้กเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันกับกลุ่มอำนาจทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเรื่องหนึ่งที่เหมือนจะตกลงกันได้คือการเปลี่ยนเป้าจากรัสเซียเป็นจีนแทนโดยจะเห็นว่าแม้ทางปธน.ทรัมป์กับอียูจะยังคงไม่ถูกโรคกันแต่พอเป็นเรื่องแบนจีนนั้นกลับเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างราบรื่น ด้านรัสเซียแม้จะตกเป็นเป้าครหาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น(ยกเว้นกลุ่มแพ้แล้วพาลทั้งในสหรัฐและอียูที่ชอบอ้างรัสเซียแทรกแทรงเวลาแพ้โหวต กับโดนปธน.ทรัมป์ใช้แซะอียูว่าถ้ารัสเซียไม่ดีอย่างว่าทำไมยังซื้อน้ำมันและก๊าสจากรัสเซียไม่ซื้อจากทางสหรัฐแทน)
ทีนี้ปัญหาในซีเรียนั้นผมเห็นว่าทางปธน.ทรัมป์เองก็อยากจะให้มันจบๆ เอาทหารกลับบ้านมาจะได้ไม่ต้องทุนจมต่อไปแต่ไม่สามารถทำได้โดยตรงซึ่งก็เลยต้องขัดขากลุ่ม Deep state กลายเป็นเหมือนเล่นปาหี่ยิงถล่มจั่วลมสนุกสนานไป จนในที่สุดสถานการณ์มันพอจะหาเรื่องถอนทหารออกได้ซึ่งตอนนั้นฝ่าย Deep state ก็ออกมาบ่นกันอยู่
อีกอย่างที่ผมอยากจะแสดงความเห็นเพิ่มก็คงเป็นที่หลายๆ ท่านยังคงยึดติดว่าอเมริกายังคงทำสงครามหาน้ำมันในต่างประเทศ
นั่นเป็นนโยบายของ Deep state ไม่ใช่ของรัฐบาลชุดนี้ที่ค่อนข้างแยกทางกับบริษัทน้ำมันหลังจาก Rex Tillerson(เรกซ์ เทลเลอร์ซัน)
อดีตซีอีโอบริษัทน้ำมัน Exxon แทงข้างหลังปธน.ทรัมป์แล้วโดนปลดออกจากคณะมนตรีไป
https://www.eia.gov/energyexplained/oil-and-petroleum-products/imports-and-exports.phpเส้นเขียว-นำเข้า เส้นส้ม-ผลิตเอง เส้นเหลือง-ส่งออก เส้นฟ้า-บริโภค
จะเห็นได้ว่าในยุคของรัฐบาลสหรัฐชุดนี้กราฟเกี่ยวกับน้ำมันนั้นนิ่งมาก
น้ำมันที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้านแคนนาดา(เส้นเหลือง)ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี รองลงมาเป็นจากโอเปคและประเทศอาหรับนอกโอเปคตามลำดับโดยทั้ง 2 แหล่งนี้ลดลงทุกปีเช่นกัน
เรื่องขายอาวุธเองก็เช่นกัน จะเห็นได้ว่าช่วงหลังๆ นี่แทบไม่มีงานเดินขายอาวุธแบบช่วงแรกๆ เลย เดินหน้าบีบจีนเก็บค่าต๋งภาษีนำเข้าได้เป็นกอบเป็นกำ
ที่น่าตลกที่สุดก็คงเป็นสื่อและเหล่านักวิเคราะห์วิชาการทั้งหลายที่พุ่งหลาวมาตั้งแต่หลังเลือกตั้งเสร็จว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะปธน.ทรัมป์ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกท่านก็น่าจะเห็นกันว่ามั่วสาดๆ กันมาก เกือบ 4 ปีเศรษฐกิจสหรัฐพุ่งไม่มีทรุด ยอดคนว่างงานต่ำสุดในรอบ 50 ปี และข่าวก่อการร้ายต่างๆ กับสหรัฐเงียบเป็นสากเป่าจนจะครบซีซันอยู่แล้ว ทหารอันไหนถอนได้ก็ถอน ลดได้ก็ลด ปาหี่ได้ก็โชว์ปาหี่กัน ซ้อมรงซ้อมรบก็เห็นว่าลดละเลิกไปซะมากแล้ว
กรณีเกาหลีเหนือก็เรียกได้ว่าจบไปแล้ว(อันนี้เจ้าตัวทำโรงงานระเบิดเอง) ซีเรียก็แยกย้ายกลับบ้านกันเรียบร้อย อิหร่านเองหลังจากกรณีตรึงเครียดทางการทหารนี้ก็น่าจะแยกย้ายเล่นเกมส์กดดันกันทางการเมืองระหว่างประเทศต่อแทนเพราะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายอิหร่านเองต้องการใช้เวทียูเอนโจมตีมากกว่าทางการทหารและทางสหรัฐเองก็ต้องการใช้การกดดันทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า ฟากจีนหลังจากโยกแลกหมัดหยั่งเชิงกันไปมาพอดูแล้วว่า 8 ปีแน่ๆ ก็เริ่มเจรจามากขึ้น(ผมว่าจีนค่อนข้างมึนกับรัฐบาลชุดนี้ของสหรัฐต่างจากชุดก่อนๆ ที่พูดเฉยๆ แต่ไม่เคยทำอะไร หลังจากพยายามกดดันด้วยการแบนสินค้าจากรัฐฐานเสียงของปธน.ทรัมป์และสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามแล้วแต่ดูจะไม่เป็นผลใดๆ)
อีกเรื่องที่ร่ายมาแล้วจะไม่พูดถึงคงไม่ได้นั่นคือกำแพงเมืองสหรัฐ ซึ่งตอนแรกๆ ก็โม้ว่าจะสูง 15 เมตร 30 เมตร ซึ่งตอนหลังๆ ก็ได้ปรับให้มันเป็นจริงมากยิ่งขึ้นโดยเน้นแก้ของเก่าที่มันชำรุดหรือใช้การแทบไม่ได้ก่อน ของใหม่เอี่ยมอ่องมีนิดหน่อย แต่ที่แสบแน่ๆ ก็นโยบายเชิงปฏิบัติซึ่งผมคิดว่าคนที่ขอวีซ่าอยู่นานๆ ของสหรัฐน่าจะรู้สึกได้ว่ามันขอยากขึ้นกว่าเดิมเยอะ พวกวีซ่าทำงานทั้งหลายนี่เตะตัดขาบริษัทไอทีแรงๆ กันเลยทีเดียว
ล่าสุดเกี่ยวกับผู้อพยพ คนอพยพมาจากกัวเตมาลาให้แมกซิกรับ ส่วนผู้อพยพจากแมกซิโกสหรัฐได้อำนวยความสะดวกจัดเที่ยวบินนำส่งให้ไปอาศัยกันยังกัวเทมาลากันแทน...