ก็อย่างที่ผม เคยบ่นๆ ไว้แหละว่า ญี่ปุ่นมันแปลกๆ นี่แหละชาตินิยมหรือใช้อะไรแบบแนวคิดเก่าๆ จนจะพาตัวเองชิบหายนี่แหละ ไม่ใช่ว่าไม่มีพวกพัฒนาตัวเองอ่ะนะ แต่มันส่วนน้อย
แนวคิดบางอย่างมันฝังแน่นซะจน เฮ้อ
ญี่ปุ่นน่ะไม่เท่าไร แต่ไอ้ที่แปลกใจ คือจีนนี่ก็อยากจะเลียนแบบบ้าง เอาตามสบายเลยล่ะกัน
กลุ่มนิยมมันลงรากลึกกว่าชาตินิยมเยอะครับ
ตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปของสังคมที่มีเค้าลางของกลุ่มนิยมก็เช่นการเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกเพื่อนบ้าน
ถ้าลูกทำนู่นนี่นั่นและไม่ทำนี่นั่นนู่นจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าอับอายแก่ชุมชนสังคมเพื่อนฝูงเป็นต้น
ที่จีนต้องการทำบ้างนั้นผมคิดว่าเพราะกลุ่มนิยมนั้นเป็นรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในการเมืองการปกครองได้มากที่สุด
ในคลิปเองก็ได้ยกตัวอย่างช่วงที่ญี่ปุ่นนั้นสงบสุขยาวนานกว่า 200 ปี ไร้ซึ่งสงครามภายใน
แต่แลกมาด้วยการหยุดนิ่งในการพัฒนาใดๆ แช่แข็งชาติกว่า 200 ปี
คนในระบบนี้ต้องไปพัฒนาทักษะด้านการอ่านบรรยกาศ อ่านสีหน้าหัวหน้า เพื่อการเอาตัวรอดในกลุ่มแทนที่จะพัฒนาความสามารถที่จะพัฒนาทางศาสตร์และศิลป์อื่น
ในคลิปได้พูดถึงและยกตัวอย่างอธิบายถึงเหตุและผลของสภาพวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
[quote/]
เขาใช้แล้วได้ผลดีมาก่อนนะเออ
ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้
เขามาจากประเทศแพ้สงครามจนถึงแนวหน้าของโลกด้วยพลังชาตินิยมเลยนะเออ
อย่างญี่ปุ่นก็รู้ๆกัน เกาหลีก็ใช้พัฒนาแข่งกับญี่ปุ่น
จีนก็ใช้มาตลอดจนขึ้นอันดับ 2 ของโลกด้านเศรษฐกิจไปละ
อเมริกาก็ใช้ แต่ใช้แบบศัตรูของชาติแทน
ตาลีบันฆ่าคนฆ่าทหารเมกาหรอ ไร้สาระ
ตกเทรนไปแล้ว ยุคนี้มันต้องเล่นจีน บ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายตัวเชื้อโรค ตัวขี้โกง
ไปดูข่าว ทวีปอเมริกา กลาง ใต้ กำลังลดการใช้ usd
ไปถือ btc แทน
ถ้าจำไม่ผิด อัตราการถือครอง usd ของธนาคารกลางประเทศต่างๆลดลง 20-40%นี่แหล่ะ
คือจำตัวเลขตั้งต้นไม่ได้
แต่หลายๆประเทศแห่ซื้อทองสะสมทองกันแทน usd
ความโกงของการพิมพ์เงินเองคือ
เงินไว้สร้างงาน สร้างกำลังการผลิตให้ประเทศเจริญก้าวหน้า
เงินเฟ้อคือการทำให้มูลค่าเงินลดลง
แล้วเมกาก็ตั้งใจทำให้ประเทศเงินเฟ้อทุกปี
เพราะเป็นการดูดความมั่งคั่งจากผู้ถือครองดอลล่า
อย่างกู้หนี้ 1000 ล้าน ถ้ารถกำไรคันละ 1 ล้าน ต้องสร้างรถมา 1000 คันมาขายใช้หนี้
แต่กว่าจะคืนหนี้ 1 ปีเงินเฝ้อไป 5% รถราคาเพิ่มไป 5%
แปลว่าจำนวนรถที่ต้องขายจะลดลง 50 คัน
เงินเฟ้อในไทย คือดูดความมั่งคั่งของคนที่ฝากเงินบาท
แต่ usd ใช้ทั่วโลก แปลว่าที่เมกาอัดฉีดเงินจนเงินเฟ้อรอบนี้
คือเมกาดูดกลืนความมั่งคั่งจากทุกประเทศที่ถือครอง usd
มีข่าว amazon ดันไปทำให้เงินเฟ้อไม่เพิ่มตามที่ รบ.ต้องการ เจอเรียกปรับทัศนคติเลย 
จนมีคนเขาแซวๆกันเลยถ้าไม่กลัวค่าเงินพัง เมกาคงทำให้เงินเฟ้อปีละ 10% ไปละ
ชาตินิยมนี่ผมคิดว่าทุกประเทศใช้กันหมด แต่กลุ่มนิยมนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างในความก้าวหน้าของจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เราแทบไม่รู้หรือไม่ได้ยินถึงคนที่เป็นต้นคิดของความก้าวหน้านั้นๆ เลย
มีเพียงชื่อกลุ่มองค์กรหรือชื่อหัวหน้ากลุ่มองค์กร เท่านั้นเพราะกลุ่มนิยมนั้นไม่ให้ค่ากับปัจเจกบุคคลภายในแต่เน้นสำคัญที่เสถียรภาพของกลุ่ม
คำกล่าวที่ว่าโดดเด่นมักเป็นภัย หรือ ไม้สูงลู่ลม(a tall tree attracts the wind) เป็นตัวอย่างของกลุ่มนิยมที่เน้นเสถรียรภาพมากกว่า
ถ้าไอสไตล์หนีไปอยู่ในสังคมกลุ่มนิยมแล้วล่ะก็เราคงไม่ได้ยินชื่อของเขาเป็นอย่างแน่ครับ
เรื่องเงินเฟ้อนี้คุยกันยาวล่ะครับ แต่โดยภาพรวมแล้วผมมองว่าเงินเฟ้อดีกว่าเงินฝืด
เงินเฟ้อพลักดันให้คนหาเงินเพิ่ม(กดดันผู้บริโภค) ส่วนเงินฝืดพลักดันให้กิจการลดต้นทุนเพิ่มผลิตภัณฑ์(กดดันผู้ผลิตและให้บริการ)
ปัญหาเงินฝืดมันอยู่ตรงที่ผู้บริโภคนั้นสามารถเป็นผู้ผลิตได้แต่ผู้ผลิตขาดทุนปิดกิจการแล้วกลายเป็นผู้บริโภคนั้นจะหารายได้อย่างไร
เพราะกิจการที่ปิดไปคือลดต้นทุนแล้วแต่ก็ยังไม่รอดซึ่งต้นทุนแรกที่ลดกันส่วนใหญ่ก็คือค่าแรงคนงานซึ่งก็เป็นการลดรายได้ของผู้บริโภค
จนสุดท้ายเงินส่วนใหญ่หายไปจากระบบเนื่องจากคนเน้นเก็บเงินไว้ไม่เอามาใช้ทำให้กระแสเงินสดในระบบเศรษฐกิจชะงักงันในที่สุด
ตรงกันข้ามกับเงินเฟ้อซึ่งค่าของเงินลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีการพิมพ์เงินเพิ่มเรื่อยๆ
(แม้แต่ทองที่ได้จากการขุดเหมืองขึ้นมาใหม่เองก็ทำให้เกิดเงินเฟ้อเช่นกันเหมือนกับกรณีที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มจำนวนหุ้นแทนการแตกพาร์ทหุ้นเดิม)
ทำให้การเก็บเงินไว้แบบสภาวะเงินฝืดกลายเป็นลายน้ำพริกลงแม่น้ำ
ทำให้คนต้องเอาเงินมาใช้ในระบบเพื่อรักษามูลค่าของสินทรัพย์ที่ถือครองเอาไว้
Currency และ Current Balance นั้นถูกเรียกอย่างมีความหมายถึงนัยยะและความเกี่ยวเนื่อง
ที่ทำให้คนสับสนในเรื่องเงินนั้นผมคิดว่าเป็นการที่เอา "เงินตรา" ซึ่งหมายถึงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนโดยไม่สูญเสียมูลค่าระหว่างการแลกเปลี่ยน
และ "เงินตรา" ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์ซึ่งสามารถถือครองซื้อขาย "เก็งกำไรได้"
ดังนี้ "เงินตรา" นั้นจึงเป็น "
สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนโดยไม่สูญเสียมูลค่าระหว่างการแลกเปลี่ยน" แต่ "
มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าระหว่างการถือครอง"
หากมองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นได้ว่าการถือครองเงินตรานั้นก็คล้ายกับการถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือบิตคอยต์
เพียงแต่อัตราความเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเงินตรานั้นน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหุ้นและบิตคอยต์
ถ้ามองเป็นหุ้นก็เป็นหุ้นบลูชิปที่ค่อยๆ ดิ่งลงอย่างช้าๆ ซึ่งถ้าขายช็อตนั้นดันต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างที่รอขายคืน
ดังนี้ต่อให้ไม่มีมะกันมันก็ต้องเฟ้อเพื่อให้เศรษฐกิจทุนนิยมเดินหน้าต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
ผมจำได้ว่าแนวไซเบอร์พังก์หลายคนอาจจะลืมไปแล้วแต่ที่มาของแนวไซเบอรืพังก์คือจากคนอมเริกา กลัวความก้าวหน้าของญี่ปุ่นในยคก่อนหน้านี้น่ะครับ
ว่าอัตราการเติบโตอย่างนี้ญี่ปุ่นต้องครองโลกอย่างแน่นอน
สุดท้ายอัตราการเติบโตก็มีจำกัด
จีนอาจจะพยายาไม่พลาดอย่างญี่ปุ่น ที่เริ่มเข้ายุคจักรวรรดินิยมเหมือนกันแล้ว
สังเกตจากแนวทางนิยาย เริ่มมีแนวคิดไปทำอาณานิคมเพื่อชิงทรัพยากรจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
หารู้ไม่ว่า ทำแบบอเมริกาที่ปั๊มแบ้งก์ใช้เองนั้นสบายกว่าการไปยึดอาณานิคมที่ต้องสู้กับพวกชนพื้นเมืองอะไรต่างๆอีก
เงินคนอื่นเขาเอาทองหรือแร่ที่มีคนให้ค่าหนุน แต่มะกันหนุนเงินตราตัวเองด้วยกำลังทางการทหารและเศรษฐกิจ
อัตราการเติบโตของเงินตราถูกจำกัดด้วยจำนวนทองและแร่มีค่าครับ มะกันเป็นหลุมดำทางการเงินเพราะขายอะไรไปก็มีเงินจ่ายกลับมาได้เนื่องจากปั้มเงินเอง
ถ้าทุกประเทศใช้ทองและแร่มีค่าค้ำซึ่งไม่มีการเพิ่มจำนวนขึ้นแล้วก็จะทำให้เกิดสภาวะเงินฝืดระดับโลกในที่สุดครับ
คนรวยก็จะดองเงินจนของถูกมากๆ แล้วค่อยๆ ทะยอยนำออกมาใช้เหมือนพวกช้อนหุ้นช้อนบิตคอยตอนถูกแล้วค่อยๆ ปล่อยขายตอนแพง