จริงๆมันเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยลัทธมาร์กซิสเริมถือกำเนิดยัน หลักเศรษฐกิจพอเพียงของร.9ก็เอามาจากพื้นเดียวกัน ทุกวันนี้เราใช้ทรัพยากรคนไปกับการทำกำไรให้บริษัทเสียส่วนมาก ซึ่งมันไม่เกิดผลผลิตอะไรเลย เอาง่ายคับ เซลล์ ฝ่ายขาย การตลาด บริษัทโฆษณา รวมถึงงานเอกสารอื่นๆมันก่อให้เกิดอะไรบ้าง เอกสารมันกินได้ไหม แน่นอนมันไร้ประโยชย์ที่ดินเองก็ถูกนำไปสร้างอสังหาไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้างซะส่วนใหญ่ แล้วเรื่องความมั่นคงทางอาหารเป็นเรื่องใหญ่มาก หลายประเทศก่อสงครามกันก็เพราะความอดอยากหลาย รัฐบาลล้มก็เพราะข้าวยากหมากแพง ขนาดโลกยังต้องมีีwfp เลย
ไม่แปลกใจที่นักคิดหลายคนตระหนักถึงเรื่องนี้และออกมาในรูปแบบต่างๆเช่นเศรษฐฏิจพอเพียงเป็นต้น ซึ่งนอกจากจะสร้างความั่นคงทางอาหารแล้ว ก็ยังเป็นหลักประกันว่า ตัวประชาชนเองจะมีอาหารกินไม่ขาดแคลนไม่ต้องซื้อ หรือนำเข้าด้วย แล้วยิ่งประเทศเมืองหนาวนี้มันมีหน้าหนาว ที่เพาะปลูกอะไรไม่ได้อีก
อีกอย่างมันเป็นเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย งานในเมืองทุกประเทศ มันยิ่งกว่าล้นด้วยซ้ำ ญี่ปุ่น จีน ไทย ยุโรป เมกาเป็นแบบนี้หมด มีแต่คนอยากทำงานสบาย นั่งออฟฟิต ไม่มีใครอยากไปตากแดดทำงานในไร่ทั้งวันหรอก ที่ญี่ปุ่นคนจบมาก็แห่เข้าแต่ในโตเกียว จนค่าครองชีพต่างๆสูงปรีด ทั้งๆที่หลายบริษัทเขาก็มีสาขาหลายจังหวัดก็ยังแห่ไปแต่โตเกียวกัน
แต่เอาเข้าจริงๆนะ ในทางปฎิบัตแล้วการเป็นชาวนา ชาวไร่มันไม่ง่ายหรอก ไม่ว่าประเทศไหน ลมฟ้าอากาศต่างๆเอย แมลง ศัตรูพืชเอย ไหนจะที่ดินต่างๆ ค่าปุ๋ยค่าเมล็ดพันธุ์ กลไกตลาตต่างๆ และที่เลวสุดก็คือพวกนายทุนการเกษตร พวกที่ขายเมล็ดพันธ์ุ ขายปุ๋ย หรือรับซื้อนี้เลยร้ายสุดไหนจะเจอเกษตรพัธสัญญาอีก
พนักงานพวกนั้นเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อในสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้นครับ
เราต้องการแรงงาน ทักษะที่หลากหลายมากกว่าเดิม ในสภาพสังคมที่มีประชากรและเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้น
สถานการณ์จะยังไม่เปลี่ยนไปตราบใดที่ประชากรยังเพิ่มมากขึ้นฟรือยังไม่มีดทคโนโลยีเอไอที่ทำงานแทนมนุษย์ได้
ถึงตอนนั้นไม่ว่าภาคเกษตรหรือแรงงานออฟฟิซก็จะไร้ค่าเหมือนกัน....หวังว่ายุคนั้นยังมาไม่ถึงก่อนที่พวกเราจะตายล่ะครับ
เข้าใจว่าภาคการผลิต การเกษตรเป็นสิ่งที่สำคัญ และท่านก็ยอมรับว่ามันลำบากไม่ได้สบายเลย เพราะตกอยู่ในห้วงเงินกู้ ตกเขียว เกษตรพันธสัญญาที่เกษตรกรแบกรับความเสี่ยง แต่นายทุนสบายอย่างที่ท่านว่า
การไปทำเกษตรก็อย่งหนึ่ง แต่หนทางที่สบายขึ้นอย่างเอาเทคโนโลยีมาทดแทนก็โดนต่อต้านเช่นกันก็แปลกดีล่ะครับ
[quote/]
ถ้าท่านเอาเวลาปัจจุบันไปวัดเรื่องเทคโนโลยี่สมัยที่เขียนมนรักลูกทุ่งมันก็พลาดแต่แรกแล้ว ถ้าเปรียบกับค่าความต้องการสมัยนั้น ค่ารถไถถือว่าราคาเกินเอื้อมสำหรับชาวไร่ รถคันหนึ่งราคาประมาณหมื่นบาทสมัยนั้ัน สามารถซื้อที่นาชาวบ้านได้เป็นสิบคนเลยเรียกว่าซื้อมาไม่มีปัณญาไช้หนี้แน่นอน สมัยนั้นชาวนามีรายได้ต่อปีไม่กี่พัน ไอ้เจิดเอามาขายโดยเสนอการผ่อนจ่าย ถ้าครบกำหนดจะยึดนาแล้วปล่อยเช่าแทน แน่นอนว่าเครื่องจัตรสมัยนันแรงม้ามันเทียบกับปัจจุบันไม่ได้ขนาดรถจักรยานยนยังวิงได้แค่40~50เองดังนั้นการที่มันจะแข่งแพ้ควายจึงเป็นเรื่องปกติ
สมัยที่แต่งมนรักลูกทุ่งบ้านนอกไม่มีปั้มน้ำมันด้วยนาและทังหมู่บ้านมีรถยนต์แค่บ้านไอ้เจิดเท่านั้น
ดังนั้นไม่ควรเอาเรื่องที่แต่งขึ้นในสมัยที่การ์ตูนยังไม่นำเข้ามาวัดกับระดับเทคโนในปัจจุบัน
ปล.สิ่งที่แปลกในมนรักลูกทุ่งไม่ไช่เรืองที่ไอ้เจิดแพ้ควายเพราะเทคโนตอนนั้นมันน่าจะสู้ไมืได้จริงๆ(ควายรุ่นท็อปนี่วิ่งได้ไวสู้สีกะม้าเลยนา)แต่เป็นไอ้เจิดที่ทังรวยทังมีอำนาจแต่ดันไม่มีสาวแลสาวๆดันมาหลงพระเอกที่จนเเละไม่มีอนาคต ตระกระโคตรป่วยถึงตอนหลังมันจะมีตังก็เถอะแต่มีสาวมาหลงตังแต่ไม่มีอะไรเลยนี่ แบบห้อยขุนแผนวัดไหนพี่
ขอบคุณครับ
ฮืม พิจารณาในแง่หนึ่ง ไอ้เจิดคือผู้มาก่อนกาลสินะครับ สภาพยังไม่พร้อมแต่กลับรีบที่จะผลักดันเทคโนโลยีรูปแบบใหม่
ผมอยากเขียนนิยายล้อว่าไอ้เจิด คือคนที่กลับชาตอมาเหิดใหม่แบบเดียวกับแนวต่างโลกเหมือนกัน แต่ทำพลาดไปเพราะลืมคำนวณสภาพแวดล้อม
แต่ในแง่หนึ่งที่มีบ้านเดียวที่ขาย ผมว่าเพราะไอ้เจิดมันอยากผูกขาดการค้ามากกว่านะครับ? แบบเดียวกับซีพี เซเวน ถ้าไม่เข้าที่นี่ก็ไม่มีที่อื่น
ผมนึกถการ์ตูนโดราเอมอน ที่ อาของโนบิตะใช้ระบบผ่อนจ่ายสุดท้ายก็ต้องลำบากเพราะชักหน้าไม่ถึงหลัง
แต่เดี๋ยวนี้คนรูดบัตรเครดิตเป็นเรื่องธรรมดา
คิดไปคิดมาไอ้เจิดหัวก้าวหน้านะนี่ เปิดไฟแนนซ์ ปล่อยเงิยกู้และตามหนี้น่าจะเหมาะ ไม่น่าไปเป็นโจรเลย ฮา
เรื่องความนิยม คงเพราะไอ้เจิดมันระรานคนไปทั่วมั้งครับ และทองกราวก็มีฐานะดีพดสมควรด้วย ไม่ได้มองว่าไอ้เจิดเป็นตัวเลือกทีดีสักเท่าไร
ไอ้คล้าว สไตล์หนุ่มลูกทุ่ง ร่างกายบึกบึน หน้าตาดี