ตอนนี้ในจีน ก็ทำท่าเละ ครับ เพราะตลาด อเมริกาเป็ตลาดใหญ่ของจีน ผู้ประกอบการบางคนบอกว่าสินค้าเขาส่งไปอเมริกา 90% คือเละ แต่เขามีทางรอด อยู่แล้ว ปัญหาคือผู้ประกอบการรายไม่ใหญ่นี่ือตายเรียบ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้ว ฝ่ายนำเข้าคือฝ่ายที่อำนาจต่อรองมากกว่า เพราะ หลักการธุรกิจคือลูกค้าคือพระเจ้า
ลูกค้าอย่างได้ของคุณภาพสูงแค่ไหน เร็วแค่ไหน ก็ได้ เพราะคนถือเงินคือลูกค้า ฝ่ายขายทำได้แค่เคาะราคาให้ลูกค้าดูแล้วลูกค้าจะตกลงหรือไม่ก็เป็นสิทธิของลูกค้า
ใครที่ได้ดุลการค้าเนี่ย จะมีอำนาจต่อรองที่ต่ำกว่าประเทศที่เสียดุลการค้าเสมอ เพราะ ลูกค้ามีอำนาจมากกว่าผู้ขาย ถ้าลูกค้าไม่ไปผิดสัญญาหรือฉีกสัญญาซะเองเสียก่อนนะ
ยิ่งประเทศไหนพึ่งพาการส่งออกมากๆ ถ้าโดนวิกฤติเศรษฐกิจอะไรก็ตามจะโดนแรงกว่าประเทศอื่นเสมอ
ผมไม่รู้ใครเคยได้ยินคำขวัญนี้ของจอมพลป.พิบูลสงครามหรือไม่
"ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" ผมไม่แน่ใจว่าจอมพลป.พิบูลสงครามมีความรู้เศรษฐศาสตร์มากแค่ไหนเพราะแกไม่ได้เรียนทางนี้
แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่จอมพลป.พิบูลสงครามพูดนั้นถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ทุกประการ เป็นไปตามสมการ GDP
GDP = C + I + G + (X - M)
ไทยทำ = I หรือ G = การลงทุนภาคเอกชน หรือ การลงทุนภาครัฐ
ไทยใช้ = C = การบริโภคภายในประเทศ
ไทยเจริญ = GDP
การส่งออกและนำเข้า เป็นอะไรที่ค่อนข้างผันผวน เพราะมันเกิดจากป้จจัยภายนอกประเทศมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ
ดังนั้นตัวแปร X(ส่งออก) และ M(นำเข้า) เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน เพราะขึ้นกับอุปสงค์อุปทานของตลาดโลก
วันดีคืนดีสินค้าบางสินค้าขาดแคลนราคามันก็ขึ้น หรือวันไม่ดีสินค้าบางสินค้าล้นตลาดราคาก็ร่วง
แต่สิ่งที่แน่นอนและมั่นคงถาวร คือ 3 ค่าตัวแปรแรก คือ การบริโภคในประเทศ(C) การลงทุนภาคเอกชนในประเทศ(I) และการลงทุนภาครัฐ(G)
การบริโภคในประเทศ(C) แปรผันตาม
- จำนวนประชากร ยิ่งประชากรเพิ่ม ยิ่งต้องการสินค้าบริโภคและอุปโภคมากขึ้น เช่น อาหาร โทรศัพท์ บ้าน รถยนต์ ไฟฟ้า น้ำประปา อินเตอร์เน็ต
- กำลังซื้อ(Purchasing Power) ยิ่งประชากรมีเงินเก็บเหลือมากเท่าไหร่ ประชาชนก็สามารถเอาเงินที่เหลือมาซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยได้ ซึ่งขึ้นกับค่าครองชีพและสวัสดิการภายในประเทศ
การลงทุนภาคเอกชน(I) แปรผันตาม
- อุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งอุปสงค์ขึ้นกับปริมาณประชากร ยิ่งประชากรเยอะ อุปสงค์ยิ่งมากตาม
- อุปสงค์ภายนอกประเทศ (สินค้าส่งออก)
- ส่งเสริมให้ผลิตสินค้าใช้เองแทนที่จะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามา
การลงทุนภาครัฐ(G) แปรผันตาม
- การจ้างงานภาครัฐ เช่น ข้าราชการต่างๆ ตำรวจ หมอ พยาบาล ฯลฯ ยิ่งเรามีประชากรมาก ยิ่งเราต้องจ้างเจ้าหน้าที่รัฐมากตาม
- การก่อตั้งรัฐวิสาหกิจและการขยายกิจการของรัฐวิสาหกิจมาทำธุรกิจบางประเภท
ดังนั้นวิธีการปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจไทยแบบยั่งยืนจริงๆ
1.เพิ่มจำนวนประชากร เรื่องนี้สำคัญมากและผมพูดไปหลายครั้งแล้ว
2.ทำให้รายจ่ายและค่าครองชีพของประชาชนลดลง เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร แค่สองอย่างนี้ลดลง ประชาชนจะมีเงินเก็บไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยได้มากขึ้น
3.รัฐจะต้องกล้าเป็นฝ่ายริเริ่มบุกเบิกธุรกิจบางอย่างที่เอกชนไม่กล้าทำด้วยการใช้รัฐวิสาหกิจเป็นตัวเบิกทาง
แค่ทำ 3 ข้อนี้ ผมมองว่าประเทศไทยจะเศรษฐกิจจะดีขึ้นแบบยั่งยืนจริงๆ พยายามทำให้ GDP ขึ้นกับค่า C, I และ G มากกว่าไปขึ้นกับกว่า X กับ M
ผมมองว่าถ้าเราทำให้ GDP พึ่งกับ C, I และ G เป็นหลัก ต่อให้เราจะเจอประเทศมหาอำนาจไหนเล่นแง่ขึ้นกำแพงภาษี เราจะไม่สะเทือนหรือเจ็บน้อย เพราะเราไม่ได้พึ่งค่า X กับ M