ที่ผมยกตัวอย่างการ role play สวมบทบาท
ก็เพราะเป็นการทำอารมณ์ร่วมให้เข้ากับความรู้สึกที่ว่ามีเวทมนตร์อยู่จริงๆได้ดีน่ะครับ
เช่นค่าสถานะ A B C D EX ของจักรวาลเฟท ก็มาจากเกมส์กระดานของพวกเนิร์ดฝรั่งและ role play การเล่นสวมบทบาทล่ะครับ
ทีนี้ผมไปเจอในการเล่น role play แบบคนที่มีเวทมนตร์และเจรจากับพวกเทพเจ้าต่างๆโดยการเจรจา
พอรู้ว่าการบูชายัญนั้นจะได้พลังมากขึ้น
พวกเราผู้เล่น เลือกจับศัตรูที่แพ้บูชายัญตลอดเลยล่ะครับ
แถมพอเริ่มอัญเชิญปีศาจได้
เริ่มใช้มุกจับปีศาจที่อัญเชิญมาไปบูชายัญอีกที
ทำการอัญเชิญปีศาจจากนรกและการบูชายัญเป็นอุตสาหกรรมเลยล่ะครับ
มันมีมุกว่า "ถ้าเทพฝ่ายดียอมรับการบูชายัญได้ สังคมคงสงบสุขกว่านี้"
คือหมายถึงเทพฝ่ายดีเป็นนพวกรักสันติบ้าง ไม่ใช่ความรุนแรงโดยไม่จำเป็นน ไม่ยอมรับการบูชายัญจากสาวกของตนเอง ฯลฯ
มีกฎหยุมหยิมไปหมดที่ควบคุมพฤติกรรม
ทำให้เริ่มเล่นไปจากเป็นคนดี good alignmennt กลายเป็น เป็นกลางเลยล่ะครับ neutral
ในจักรวาลของ game of throne ครอสโอเวอร์กับ DnD
พวกผู้เล่นเลยใช้วิธีบูชายัญต่อเทพเจ้าที่โหดๆหน่อยอย่าง OLd God โดยการฆ่าสังเวยหน้าต้นไม้
แลกกับพลังต่างๆมากมายครับ
เรียกว่าคนดีอยู่ไม่ได้ในโลกที่โหดร้าย เพราะการบูชายัญนั้นทรงพลังมากเกินไป
แบบเฟท ระดับริวโนะสุเกะ ทำแบบมั่วๆ ก็อัญเชืญเคราครามได้ แม้จะบอวก่าพิธีจอกทำส่วนใหญ่แล้วก็เถอะ
หรือเอาเด็กมาไม่กี่คนก็สามารถทำให้ราชาวีรชนอย่างกิลกาเมธอยู่บนโลกได้
แค่เด็กไม่กี่สิบคน เอากิลกาเมธมาโลดแล่นนับสิบปีได้ ท่านไม่คิดว่าราคาถูกมากหรือครับ?
ไปเจอคนวิจารณ์มาเหมือนกันว่า การอนุญาตให้คนบูชายัญได้ จะเกิดปัญหาตค่อกลุ่มปาร์ตี้ที่ผจญภัยกัน
แม้แต่คนที่เลวบางคนก็มองว่า เมื่อคนตายแล้วก็ควรจะแล้วกัน ไม่ควรจะบูชายัญพวกเขาอีก
เกิดความขัดแย้งในกลุ่ม
แต่แน่นอน หากมองในข้อเท็จจริง ไม่ใช่เกมสืกระดาน มันไม่มีกติกาในการที่จะแสวงหาพลังอำนาจทางเวทมนตร์
สิ่งที่เป็นข้อห้ามได้ มีแค่ศีลธรรมในใจของเราท่านั้น
เมื่อเราเผชิญหน้ากับตัวโม้ๆอย่าง เนโร่เคออส ที่ฆ่าโดยวิธีธรรมดาไม่ตาย
..เราจะเริ่มคิดหรือเปล่าว่าศีลธรรมช่วยอะไรเราได้ ในเมื่อเราแพ้เราก็ถูกเนฌโร่ เคออสกลืนกินอยู่ดี?
จะดีกว่าหรือเปล่าที่เราจะฝากชีวิตของเราเองไว้กับสมอง สองมือและพลังของเราเอง?
หากไม่มีเนตรแห่งความตายหรือเรียลลิตี้มาเบิ้ลหรือชาติตระกูลอันเก่าแก่
คนธรรมดาจะทำอย่างไรในโลกของเวทมนตร์?
ธีมที่ผมจะต้องการสื่อคือ
"ทุกคนยังคิดว่าโลกปลอดภัย"ไม่คิดว่าเราจะโดนลูกหลงจาก บลัดฟอร์ทของไรเดอร์หรือหมอกพิษต่างๆของป่าแห่งความตาย
ยินดีต้อนรับสู่อีกฟากหนึ่งของโลก Moonlit world
[quote/]เพิ่มอีกข้อครับ
5.พวกศาสตร์,แนวคิดหรือวิชาการที่ส่งผลกระทบในด้านลบหรือขัดแย้งต่อโบสถ์หรือคำสอนของโบสถ์ อย่างกาลิเลโอที่บอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลและหมุนรอบดวงอาทิตย์ยังโดนหาว่านอกรีตเลย
กาลิเลโอที่จริงเส้นใหญ่นะครับ ฮา
ไม่อย่างนั้นตายไปนานแล้ว ไม่โดนแค่ขังคุก
โหยคิดกันไปไกลชิบเอาจริงๆที่ว่าศาสตร์มืดจริงๆแล้วมันมีแค่สองสามเคศครับถ้านับตามความเป็นจริง
๑คือการที่โบสถขับไล่ศาสนาเก่าครับ
๒คือพวกที่เรียนจากโบสถ์เองออกมาหากินและไม่แบ่งโบสถ
๓คือหมอชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นที่ไม่ยอมโบสถ
๔คือเหยื่อในการกลันแกล้งในด้านต่างๆตามผลประโยชน์เช่นสาวบ้านนี้สวยเจ้าเมืองหรือนักบวชต้องการ แต่สาวไม่ยอมก็ไช้อำนาจโบสถลงโทษแน่นอนว่ามันไช้ในการลงทัณฆ์เมื่อขัดผลประโชยน์ของผู้มีอำนาจและโบสถ
เอาจริงๆมันก็มีแค่นี้แหละ
ถูกครับ
แต่เรากำลังพูดถึงโลกที่มี่คุณยายวรนาฎกับอังกอร์เดินไปมาอยู่ครับ ฮา
พอมีเวทย์อยู่จริงกัยสิ่งเหนือธรรมชาติอจริง
มันทำให้เราสับสนในข้อเท็จจริงได้ใช่ไหมล่ะครับ?
เหมือนกับคนไม่เชื่อศาสนาเอทิสม์ จะเปลี่ยนความคิดไหมถ้าวันหนึ่ง เทพเซอุส เสกสายฟ้าใส่บ้านเอทิสม์คนนั้น?
จากที่ว่าโง่เขลาในการทำข้อบังคับต่างๆ
ก็จะเรียกว่ากลายเป็นมอง เวทย์แบบอาวุธปืน ที่มีแบบที่อนุญาตให้คนคอบครองได้กับแบบที่ไม่อนุญาตให้คนครอยบครองได้จัดเป็นอาวุธสงคราม
แต่เพื่อแก้ความสับสน
ผมบอกว่าโลกแห่งความจรินั้นท่านคิดถูกแล้วครับ ไม่มีอะไรเถียงในข้อนั้นเห็นด้วยเลย
[quote/]
สังเวยคนแทนไก่ได้มั้ย ก็เพราะแบบนั้นไงผมถึงบอกว่าไม่มีกฏหรือหลักยึดเอาไว้ก็เขว้หมดแหละ หรือไม่รุ้จักหยุดพักเลิกสนใจบ้างก็บ้า
จิตใจของมนุษย์ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ขอแค่เพียงมีสิ่งยึดเอาไว้ได้ก็ไม่มีอะไรทำใไ้มันสั่นไหวได้ แต่พอเสียสิ่งยึดไปแค่แตะก้ล้มแล้ว
หนทางแห่งเดรันฉานวิชาน่ะมันหนทางที่มีแต่คนที่จิตใจพร้อมแล้วถึงไปได้ ไม่งั้นก็บ้าและเพี้ยนไปเลย เพราะงั้นศาสตร์มืดของไทยนั้น
จะสอนให้ใครต้องดูวันปีเกิดด้วยไงเพราะบ้างคนจะเกิดมาพร้อมกับจิตใจที่แข็งมากพอที่จะเดินบนเส้นทางนี้ได้ มันไม่ยากแต่แค่คุณจะสู้
กับตัวเองได้นานขนาดไหนมาหหว่าจะยอมล้มกฏทิ้งความอดทนเพื่อไปใช้ทางลัด จะผ่านไปจบจบได้หรือจะละทิ้งแล้วยอมทุกอย่างก็เท่านั้นเอง
แต่ก็เห็นด้วยว่าเดรันฉานวิชามันมีเสน่ห์ผู้คนที่จิตใจอ่อนแอถ้าได้ลิ้มรสมันแล้ว จะหลงกับพลังอำนาจพวกนั้นถ้าเทิดทูนมันก็คือจบถ้าแค่มีไว้เป็นเครื่องมือ
แบบคิริสึกุก็คือเหนือกว่ามันแล้ว ผู้สำเร็จวิชาคือผู้ที่ไม่ได้สนใจจะมองหาโอกาสใช้วิชาแต่จะมองหาเหตุผลว่าวิชามันจะใช้เกิดประโยชน์ได้ยังไง
เพราะเส้นทางพุทธของพระพุทธเจ้าเองก็มีวิชาที่ทำให้หลงทางแบบนี้อยุ่เช่นกัน(เมื่อจิตบรรลุโศดาบันจะเข้าถึงวิชาได้เอง เหมือนเจไดนั้นแหละพอสัมผัสฟอร์สได้
ก็จะควบคุมฟอร์สมาใช้ได้) ท่านจึงทรงสั่งห้ามมิให้เหล่าโสดาบันทั้งหลายเอาวิชามาใช้ให้มีเพียงพระโมขคัลลาเพียงคนเดียวที่ให้วิชาได้ เพื่อให้พระโมขคัลลาเป็นผู้ต่อสู้
กับศัตรูผู้มาจากต่างศาสนาที่จะเข้ามาทำลายศาสนาพุทธ
ก็ใช่ครับ
ที่ผมคิดเวลาเจอเรื่องชิโร่ไม่ใช่ "ทำไมชิโร่ถึงกลายเป็นอาเชอร์"
แต่คือ "ทำไมชิโร่ถึงทนอยู่ได้นา่นขนาดนั้นจนกว่าจะเปลี่ยนเป็นอาเชอร์"ต่างหาก
เวลาเรามองจริงๆจะเห็ยนว่าพวกนักเวทย์ต้องมีความสติหลุด หรือสามัญสำนึกที่ต่างจากคนทั่วไปบ้างก็เพระาเหตุนี้ล่ะครับ
จำได้ว่า ขุนแผนก็มีทำนายดสวงว่า "ปีขาล วันอังคาร เดือนห้า" ดวงของคนใจแข็งหนักแน่น ที่ว่าผ่าท้องบัวคลี่ได้ล่ะครับ
ไม่ใช่ทางที่คนธรรมดาจะทำได้
คิดอีกที ไม่มีใครมองว่าการผ่าท้องบัวคลี่เป็นเรื่องธรรมดานะ แม้แต่ในสมัยก่อนก็ตาม
คนเขามักจะใช้มุกไปขุดศพกันตามป่าช้า
ไม่ใช่ทำให้ผู้หญิงท้องเป็นศพเสียเองแบบขุนแผน
หากขาดสิ่งยึดเหนี่ยวมนุษย์ก็จะแตกสลาย
คนที่ผ่านไปได้ มีแต่คนระดับขุนแผน โซวเค็น คิริสึงุ เท่านั้นล่ะ
แต่พอเวลา่ผ่านไปแม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่ว่ามานั้น ก็เริ่มพังทลาย ไม่มีใครทนได้ตลอดไปหรอก
ซึ่งก็ย้อนกลับมาที่สายศรัทธา ว่าเชื่อใจในพระเจ้าแทนว่าอย่างนั้น และจะมีกฎระเบียบควบคุมตนเองอย่างที่พระเจ้าว่า
"กฎ" "ข้อห้าม" ไม่ได้มอบพลังให้แต่คือการสร้าง"เกราะ" ต่างหาก
มันคือมุกที่ผมคิดน่ะครับในตอนแต่งแฟนฟิค
จะเขียนว่าคนธรรมดาหรือนักเวทย์ธรรมดา ชนะอัลเควดหรือเหล่าสาวกได้ นรักอ่านคงไม่เชื่อ
แต่ถ้าบอวก่าทำพิธีกรรมที่สังเวยคนนับหมื่นนับแสนคน ต่อให้คนอ่านที่พยายามจะจับผิดว่า "แมรี่ซู"ก็คงจะพูดลำบาก
มันก็เป็นมุกที่นักเวทย์ในเฟทใช้นั้นล่ะ
แต่คนที่บ้าคลั่งก็จะพูดว่า "ใช้คนสังเวยไม่มากพอ" ไม่กี่ร้อยคนเอาชนะพวกวีรชนไม่ได้หรอก
ในภาค strange fake ก็เล่นมุกว่า จับคนนับพันคนมาเป็นผลึกวิญญาณเผื่อให้ เฮอร์คิวลีสเวอร์ชั่น อัลไคเดส บู๊กับกิลได้อย่างงยาวนาน
เรียกว่าอ.ที่เขียนภาค strange fake ก็เล่นมุกเดียวกับผมล่ะครับ ฮา
"คนธรรมดาคิดหวังจะเอาชนะวีรชนได้โดยไม่เสียอะไรไป ไยไม่เพ้อฝันเกินไป?"
เรื่องเทคนิคศาสนาพุทธ ผมจำได้ว่า พระเทวทัตนี่ก็อัจฉริยะนะครับ
บรรลุญาณสัมผัส ฌาณได้เป็นคนแรกๆเลย
แต่ไปต่อจากนั้นไม่ได้เพราะจิตใจไม่ถึงพอว่าอย่างนั้น
มันมีมุกในจักรวาลเฟทว่า "หอคอยเวทย์ ไม่ข้องเกี่ยวกับเวทย์ตะวันออกเพราะมีรากฐานคนละอย่าง"
แต่อย่างที่ผมบอกล่ะ หากมันเหมืนกันกว่า 80% ในตารางพื้นฐานจะบอกว่ารากฐานคนละอย่างมันก็แปลกๆล่ะ
จะเป็นมุกว่า"อัจฉริยะ ทั่วโลก สรุปได้ข้อสรุปเดียวกัน"น่าจะอธิบายความเหมือนกันของเวทย์มนนตร์ได้มากกว่า
อย่างอังกราแมนยุ ต่างอะไรกับเคสพระเยซู?
แค่อังกราแมนยุเป็นแค่เด็กธรรมดาที่โดนคนหมู่บ้านจับบูชายัญ
พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้าของแท้
อังกราแมนยุ ทำไปก็เท่านั้น
กรณีพระเยซูต่าางหากเป็นของจริง
คนเรามีความสำคัญไม่เท่ากัน
คนในหมู่บ้านของอังกราแมนยุ อาจจะมีนักทำนายที่เข้าใจผิดเรื่องการมาถึงของพระผู้ไถ่และพยายามจะสร้างพิธีกรรมขึ้นมาเองตามภาพนิมิตร
แต่หารู้ไม่ว่า คนเราไม่สามารถเลียนแบบการมาถึงของพระผู้ไถ่เองได้
การบูชายัญที่ลบล้างบาปคือการบูชายัญบุตรของพระเจ้าเอง
ไม่มีใครเถียงว่าการบูชายัญจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ ..แค่สิ่งสังเวยต้องพิเศษจริงๆ
คนธรรมดาอย่างอังกราแมนยุ บูชายัญไปก็เท่านั้น