
เมื่อพูดถึงการประดิษฐ์คิดค้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือแนวคิดทางสังคมและการเมือง คงต้องยอมรับว่าโลกฝั่งยุโรปมีบทบาทสำคัญมาตลอดประวัติศาสตร์หลายพันปี พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสิ่งที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ‘รัฐชาติ’ (Nation-State) ก็เป็นหนึ่งในนั้น
.
แต่การเกิดขึ้นของรัฐชาติ ไม่ได้เริ่มจากแรงบันดาลใจหลังแช่น้ำร้อนหรือถูกแอปเปิลตกใส่หัวแบบเรื่องเล่าในตำนาน ทว่ามีจุดกำเนิดจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 นั่นคือ ‘สงคราม 30 ปี’ (Thirty Years’ War)
.
สงคราม 30 ปี เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุโรปตอนกลาง โดยมีชนวนจากความแตกแยกทางศาสนา ระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งเป็นขบวนการปฏิรูปศาสนาคริสต์ที่เริ่มต้นจากการคัดค้านอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิก โดยเฉพาะแนวคิดของ มาร์ติน ลูเธอร์
.
เมื่อรัฐต่างๆ ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เริ่มเปลี่ยนไปนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ จักรพรรดิที่สนับสนุนโรมันคาทอลิกจึงไม่อาจยอมรับได้ ความขัดแย้งจึงปะทุจากความเห็นต่างทางศาสนา สู่สงครามเต็มรูปแบบ
.
แต่ความรุนแรงไม่ได้จำกัดแค่ภายในจักรวรรดิเท่านั้น เพราะรัฐที่เข้าข้างโปรเตสแตนต์ก็ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอื่น เช่น ฝรั่งเศสและสวีเดน ทำให้สงครามลุกลามใหญ่โตต่อเนื่องยาวนานถึง 30 ปีเต็ม
.
หลังจากการรบพุ่งที่เต็มไปด้วยความสูญเสียอย่างมหาศาล แต่ละฝ่ายจึงยอมเข้าสู่กระบวนการเจรจา โดยใช้เวทีกลางในแคว้น เวสท์ฟาเลีย ทางตะวันตกของเยอรมนี ซึ่งเริ่มต้นในปี 1646 หัวใจสำคัญของการเจรจาคือ ‘รัฐที่มีศาสนาและแนวคิดต่างกัน จะอยู่ร่วมกันในยุโรปได้อย่างไร?’
.
สุดท้าย การเจรจาได้ข้อสรุปในปี 1648 ซึ่งกลายมาเป็น ‘สนธิสัญญาเวสท์ฟาเลีย’ (Treaty of Westphalia) โดยมีหลักการสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองโลกไปตลอดกาล นั่นคือ ‘แต่ละรัฐมีอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือดินแดนของตน’ กล่าวคือ ใครครองดินแดนไหน ย่อมมีสิทธิในการปกครอง บริหาร กำหนดนโยบาย รวมถึงศาสนาที่ประชาชนจะนับถือ โดยที่รัฐอื่นไม่สามารถแทรกแซงได้
.
นี่คือการเชื่อมโยงกันระหว่าง ‘รัฐ’ และ ‘อาณาเขต’ อย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
.
แม้แต่รัฐที่ยังอยู่ภายใต้จักรวรรดิ เช่น จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังได้รับสิทธิในการปกครองตนเองภายในขอบเขตของตน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐใดรัฐหนึ่งไม่สามารถบังคับให้รัฐอื่นต้องเปลี่ยนศาสนาหรือระบบปกครองตามตนเองได้อีกต่อไป
.
แนวคิดนี้เองที่กลายเป็นรากฐานของ ‘รัฐชาติ’ (Nation-State) ซึ่งหมายถึงรัฐที่มีดินแดนชัดเจน ประชาชนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน การปกครองเดียวกัน และมีอัตลักษณ์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม หรือแม้แต่กษัตริย์ผู้ปกครอง
.
สนธิสัญญาเวสท์ฟาเลีย ไม่เพียงเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการเมืองระหว่างประเทศแบบใหม่ ที่เน้นความเคารพในอธิปไตยและไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน หลักการนี้ยังคงเป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศจนถึงทุกวันนี้
.
แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 377 ปี แต่แนวคิดเกี่ยวกับรัฐชาติและอธิปไตยที่ถือกำเนิดขึ้นในคราวนั้น ยังคงเป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
เรื่อง: CPKZ
ภาพประกอบ: DOOM.
.
อ้างอิง
Asch, R. G. (1997). The Thirty Years War (pp. 9-25). Macmillan Publishers Limited.
.
Croxton, D. (1999). The Peace of Westphalia of 1648 and the Origins of Sovereignty. The international history review, 21(3), 569-591.
.
Gross, L. (1948). The peace of Westphalia, 1648–1948. American Journal of International Law, 42(1), 20-41.
.
Polišenský, J. V. (1968). The Thirty Years' War and the Crises and Revolutions of Seventeenth-Century Europe. Past & Present, (39), 34-43.
.
บรรพต กำเนิดศิริ. (2010). ประวัติศาสตร์การทูตตั้งแต่การประชุมที่กรุงเวียนนา ค.ศ. 1815 จนถึงจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นปี ค.ศ. 1947. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
.
*เครดิตภาพ
The Ratification of the Spanish-Dutch Treaty of Münster, 15 May 1648 by Gerard ter Borch : Rijksmuseum Collection
Flags of countries of the world : via. World Atlas
.
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1214279307393698&set=a.596025255885776
