[quote/]เพราะมีการทำ Propaganda กันมาตั้งแต่สมัยก่อนนั่นแหละครับ
ความเชื่อแบบกษัตริย์คือสมมติเทพยังไงละ
สมัยก่อนยังไม่มี Propaganda จริงๆจัง
เริ่มมาเริ่มกันจริงๆจังๆ สมัย ร.5 ด้วยฝีมือของเจ้าพระยาดำรงราชานุภาพที่ต้องการสร้างค่านิยมกษัตริย์นิยม
และเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เพื่อให้คนไทยเกลียดประเทศต่างชาติโดยเฉพาะอังกฤษกับฝรั่งเศษ
แต่ครั้งนั้นก็ยังไม่ได้ผลเท่าไหร่ จนกระทั่งความนิยมของกษัตริย์ตกต่ำที่สุดในสมัยปลาย ร.6 จนถึง ร.7
เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เรียกว่า First Depression ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
การส่งออกหยุดชะงัก โดยเฉพาะการส่งออกข้าว กับ การส่งออกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ
ผลกระทบนี้ทำให้เกิดการเลิกจ้างงาน (สมัยก่อนไม่มีสิทธิการคุ้มครองแรงงาน นายจ้างเลิกจ้างได้ง่ายๆเลยและไม่จำเป็นต้องมีการชดเชย)
แม้แต่ข้าราชการเองก็ได้รับผลกระทบ คือ เงินเดือนไม่เพิ่ม ซึ่งพระองค์เจ้าบวรเดชได้ประท้วงด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม
เมื่อพระองค์เจ้าบวรเดชลาออก ทำให้ราชสำนักอ่อนแอลงไปกว่าเดิม เพราะขาดคนคุมกำลังกองทัพ และราชสำนักก็เบนเป้าเพ่งเล็งไปที่พระองค์เจ้าบวรเดชที่มีโอกาสจะก่อกบฏ
ประกอบกับ ร.7 ที่ไม่ใส่ใจราชกิจ เศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศที่กำลังร้อนแรงและอยู่ในสถานการณ์ที่เฉียบแหลม เสด็จไปเล่นกอล์ฟที่วังไกลกังวล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นั่นทำให้โอกาสได้เอื้ออำนวยต่อคณะราษฎรอย่างถึงที่สุด 1.ไม่มีพระองค์เจ้าบวรเดชคุมกองทัพ 2.ราชสำนักเพ่งเล็งไปที่พระองค์เจ้าบวรเดชแทนคณะราษฎร 3.ร.7 เสด็จออกจากพระนคร
3 ปัจจัยนี้ทำให้คณะราษฎรสามารถก่อการปฏิวัติการปกครองได้สำเร็จ
พอหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฝ่ายเชื้อพระวงศ์และกษัตริย์นิยม กับ ฝ่ายคณะราษฎร ก็ต่อสู้กันในระบบสภา
ไม่นานนัก อ.ปรีดี ได้เสนอ เค้าโครงเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่าสมุดปกเหลือง เพื่อเป็นนโยบายในการดำเนินเศรษฐกิจอย่างมีทิศทาง เป้าหมายและการวัดผลความก้าวหน้า
ทว่าฝ่ายขวาได้วิพากย์วิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของอ.ปรีดีว่าลอกเลียนแบบแนวคิดคอมมิวนิสต์ของเลนนิน
โดยร.7 ได้เขียนวิพากย์วิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของอ.ปรีดี เรียกว่า สมุดปกขาว
ฝ่ายกษัตริย์นิยมได้ทีจึงอยากให้ดำเนินจับกุมอ.ปรีดี รวมถึงหางเลขคณะราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงออกกฎหมายภัยคอมมิวนิสต์ขึ้นเพื่อจัดการกับอ.ปรีดีและคณะราษฎร
ยิ่งไปกว่านั้นต่อมา พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รัฐประหารด้วยกฎหมาย ด้วยการปิดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อยึดอำนาจกลับคือสู่ฝ่ายขวาและร.7
แต่นั่นทำให้ทั้งตัวพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และร.7 สูญเสียความชื่นชอบจากประชาชนลงไปกว่าเดิม และเสียความชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากประชาชนซึ่งมีสิทธิเพิ่มขึ้นตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่ได้ถูกตราขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 นั้น ไม่อยากเสียสิทธิที่ได้รับมา
ประชาชนจึงแห่กันไปสนับสนุนคณะราษฎร พระยามโนปกรณ์ไม่ละความพยายามต้องการกำจัดและถอนรากถอนโคนคณะราษฎรให้หมดสิ้น
และเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชดังเดิม
แต่คณะราษฎรไม่ยอม พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พันโทแปลก พิบูลสงครามก่อการ รัฐประหารเพื่อหยุดยั้งการ Counter-Revolution ของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้สำเร็จ
อำนาจจากฝ่ายกษัตริย์นิยมได้เปลี่ยนกลับมาอยู่ฝ่ายคณะราษฎร คราวนี้พันโท แปลก พิบูลสงครามก็ได้เริ่มต้นการสอบสวนความเป็นคอมมิวนิสต์ของอ.ปรีดี
โดยการเชิญนักกฎหมายจากต่างประเทศมากมาย ทั้งนี้ป.พิบูลสงครามต้องการช่วยเหลืออ.ปรีดีให้พ้นจากข้อครหาเรื่องคอมมิวนิสต์ซึ่งอ.ปรีดีก็พิสูจน์ตนเองได้สำเร็จ
เมื่อพ้นมลทินแล้ว อ.ปรีดีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยและได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการใหม่ โดยกระจายอำนาจออกไปชนบทมากขึ้น
เรียกกันว่า "ระบบเทศบาล" จุดนี้ทำให้อำนาจท้องถิ่นเพิ่มขึ้น พลังการสนับสนุนฝ่ายคณะราษฎรยิ่งมากขึ้น ขณะที่ฝ่ายกษัตริย์นิยมซึ่งต้องการอำนาจรวมศูนย์มีอำนาจลดน้อยลงเรื่อยๆ
แน่นอนว่าฝ่ายกษัตริย์นิยมไม่ยอมแพ้ หลังจากสูญเสียอำนาจ จึงไป Tag Team กับ พระองค์เจ้าบวรเดช ที่แค้นคณะราษฎรที่ไม่ชักชวนเข้าร่วมก่อการในวันที่ 24 มิถุนา 2475
(คาดว่าเหตุผลพระองค์เจ้าบวรเดชน่าจะอยากเป็นใหญ๋ในกลุ่มคณะราษฎร)
พระองค์เจ้าบวรเดชได้ยกกำลังมาจากหัวเมืองต่างจังหวัดหลายหัวเมือง และยืนคำขาด 6 ข้อ แก่รัฐบาลคณะราษฎร โดยมีเนื้อหาคร่าวว่าให้คืนอำนาจแก่ ร.7 ให้กลับเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช
ขณะเดียวกันร.7 ได้ทรงเสด็จไปวังไกลกังวล หัวหิน จ.ประจวบฯ
กองกำลังฝ่ายบวรเดชส่วนใหญ่ก็มาจากประจวบ และภายหลังมีหลักฐานว่า พ่อตาของร.7 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฐ์ ได้ออกเงินให้แก่กลุ่มกบฏบวรเดช
แล้วร.7 เองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรฝ่ายกบฏบวรเดช จึงมีความเป็นไปได้ว่าพระองค์เจ้าบวรเดชและร.7 ร่วมมือกันต้องการทำ Counter-Revolution กลับเป็นระบอบเดิม
ฝ่ายคณะราษฎรไม่ยอมรับข้อเสนอ 6 ประการ ทั้งสองฝ่ายจึงเตรียมกองทัพสู้กัน และการศึกครั้งนี้คือ Civil War ครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของยุครัตนโกสินทร์ที่เกิดขึ้น
ผลของการรบ ฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎรได้รับชัยชนะเหนือพระองค์เจ้าบวรเดช อำนาจฝ่ายกษัตริย์นิยมยิ่งลดน้อยถอยลงต่ำถึงขีดสุด
แต่มีเกร็ดสำคัญซึ่งเป็นข้อเท็จจริงว่าเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎรช่วยกันขัดขวางทำให้การลำเลียงเสบียงของฝ่ายบวรเดช
ทั้งนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการพลเรือน หมอพยาบาล รวมถึงประชาชนชาวบ้าน ต่างช่วยกันขัดขวางกองทัพของบวรเดชที่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อตาของร.7
นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักไทยเสื่อมถอยถึงขีดสุด
ส่วนแนวคิดกษัตริย์นิยมเริ่มกลับมาหลังจากที่คณะราษฎรเริ่มเสื่อมอำนาจ 2490 รวมทั้งได้รับการ Propaganda ของสองพี่น้องตระกูลปราโมทย์
และได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้การ Propaganda จากหน่วย OSS ของเมกา โดย Wiliam Joseph Donovan ที่ต้องการใช้แนวคิดกษัตริย์นิยมเข้าปะทะกับแนวคิดของคอมมิวนิสต์
ช่วงที่แนวคิดของกษัตริย์นิยมและอำนาจของ ร.9 Peak สุด คือ ช่วงเวลา 6 ตุลา 2519