[quote/]
พูดจังหวัดน่ะถูกแล้วครับ จะให้บอกตำแหน่งเป็นละติจูด ลองติจูดหรอ
สมัยโบราณมีแต่ป่ากับป่า แม้กระทั่งหลายๆพื้นที่จังหวัดปัจจุบันยังไม่มีหมู่บ้านเลยมั้ง
เมือง กับ จังหวัด 2 คำนี้ไม่เหมือนกันนะครับ
อยุธยาอยู่ในยุคกลาง ใช้ระบบ "เมือง" ซึ่งแบ่งเป็นเมืองเอก กับ เมืองโท
เมืองมีพื้นที่และขอบเขตไม่ชัดเจน แต่มีศูนย์กลางของสิ่งก่อสร้าง เช่น จวนเจ้าเมือง ตลาด ฯลฯ
เจ้าเมืองมีอำนาจเก็บภาษีเอง และเก็บเท่าไหร่ก็ได้ แต่พอเก็บแล้วต้องแบ่งส่วนส่งให้เมืองที่สูงกว่า
ส่วนจังหวัดเป็นการแบ่งเขตที่ดินพื้นที่จากส่วนกลางชัดเจน จังหวัดเป็นแนวคิดของระบบที่สมัยใหม่กว่าครับ
จังหวัดจะต้องมีผู้ว่าจังหวัด กล่าวคือ "ผู้สำเร็จราชการ" ที่ถูกส่งจากส่วนกลางมาบริหาร
ภาษีของจังหวัดที่เก็บได้ จะส่งให้ส่วนกลางโดยตรง ไม่ต้องส่งต่อเป็นทอดๆเหมือนระบบเก่า
...................
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
พิษณุโลก เป็น เมืองเอก
สุโขทัย เป็น เมืองโท
อำนาจขุนนางของเจ้าเมืองพิษณุโลก > อำนาจขุนนางของเจ้าเมืองสุโขทัย
ดังนั้นเจ้าเมืองสุโขทัยเก็บภาษีก็ต้องแบ่งส่วนหนึ่งส่งให้แก่เจ้าเมืองพิษณุโลก จากนั้นเจ้าเมืองพิษณุโลกก็จะรวบรวมภาษีจากขุนนางที่ส่งขึ้นมา ไปส่งให้กษัตริย์อยุธยาอีกทีหนึ่งครับ
ขณะที่ระบบจังหวัดมันตรงข้ามเลย
ผู้สำเร็จราชการ หรือ ผู้ว่าจังหวัด เก็บภาษีจังหวัดนั้นได้เท่าไหร่ โดยภาษีก็เก็บจากพื้นที่ที่ถูกส่วนกลางตีเส้นขอบเขตของแต่ละจังหวัดไว้แล้ว แล้วนำภาษีส่งให้แก่กษัตริย์กรุงเทพฯโดยตรงเลยครับ
ดังนั้น 2 ระบบ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ การจะบอกว่า จังหวัด = เมือง มันผิดบริบท และผิดฝาผิดตัว ผิดยุคสมัย
เมือง = ขอบเขตพื้นที่ไม่ชัดเจน ผู้ปกครองเป็นสายเลือดตระกูลของเจ้าเมืองเดิม ใช้การส่งภาษีแบบปิระมิดขึ้นไปเป็นทอดๆ ส่วนกลางไม่มีอำนาจไปตัดสินวิธีการบริหารของเจ้าเมืองนั้นๆ
จังหวัด = ขอบเขตพื้นที่ชัดเจน ผู้ปกครองคือผู้สำเร็จราชการที่แต่งตั้งมาจากส่วนกลาง นโยบายใดๆ ไม่ว่าจะเก็บภาษีหรือบริหาร ใช้แบบเดียวกับส่วนกลาง
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกอันหนึ่งชัดๆ
ขุนพิเรนทรเทพ หรือ พระมหาธรรมราชา (หรือเรารู้จักกันว่าเป็น พ่อของพระนเรศวร) นี่คือตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพระบบเมือง กับ จังหวัดได้ดีที่สุด
ขุนพิเรนทรเทพ เนี่ย ก่อนขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยา เขาเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกสองแคว อย่างที่รู้กัน
ตอนที่กองทัพหงสาวดีของตะเบงเชวตี้ยกทัพประชิดเมืองพิษณุโลก ขุนพิเรนทรเทพได้ยอมแพ้และทำการสวามิภักดิ์ต่อกองทัพพม่าและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกองทัพพม่าตีอยุธยา
อันนี้คือตัวอย่างของระบบเมือง คือ เจ้าเมืองมีอำนาจตัดสินใจเองว่าจะสวามิภักดิ์กับใคร จะส่งภาษีให้แก่ใคร ส่วนกลางไม่มีอำนาจกำหนดว่าเจ้าเมืองจะต้องทำอะไร
ขณะที่ระบบจังหวัดมันต่างออกไป ยกตัวอย่าง เหตุการณ์กบฏสี่บาท หรือ กบฏผีบุญ แม้ประชาชน+ขุนนางเก่าจะตัดสินใจเป็นปรปักษ์กับส่วนกลาง(กษัตริย์กรุงเทพฯ)
แต่ผู้สำเร็จราชการหรือผู้ว่าจังหวัดนั้น ยังคงไม่ได้เปลี่ยนนโยบาย ยังคงยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นที่ตั้ง และรอกองทัพจากพระนครเดินทางขึ้นมาปราบกบฏ
อีกประการหนึ่ง
เมือง = มีกองทัพเป็นของตัวเอง ขึ้นตรงกับเจ้าเมืองนั้นๆ
จังหวัด = ไม่มีกองทัพเป็นของตัวเอง กองทัพทั้งหมดอยู่ที่ส่วนกลาง
สมมุติถ้าคุณ deaddy บอกว่า ตัวเองเป็นเจ้าเมือง เชียงใหม่ นั่นเท่ากับคุณ deaddy มีอำนาจในการกำหนดภาษีได้เองตามใจคุณ deaddy และมีกองทัพ มีกฎหมายเป็นของตัวเอง
แต่ถ้าคุณ deaddy บอกว่า ตัวเป็นผู้ว่าจังหวัด เชียงใหม่ นั่นหมายความว่า คุณ deaddy ไม่ได้มีอำนาจกำหนดภาษีได้เอง คุณ deaddy เก็บภาษีใน rate ที่ส่วนกลางเป็นคนกำหนด ไม่ได้มีกองทัพเป็นของตัวเอง สมมุติว่ามีกบฏ คุณ deaddy ต้องทำหนังสือส่งให้ส่วนกลางยกกองทัพขึ้นมาปราบกบฏ เนื่องจากคุณ deaddy ไม่ได้มีกองทัพของตัวเอง แล้วคุณ deaddy ก็ต้องใช้กฎหมายเดียวกับที่ส่วนกลางกรุงเทพฯเป็นคนกำหนด คุณ deaddy จะบัญญัติกฎหมายที่ใช้เฉพาะเมืองเชียงใหม่เท่านั้นไม่ได้
เข้าใจความแตกต่างระหว่าง เมือง กับ จังหวัด แล้วหรือยังครับ?
เมือง จึงไม่เท่ากับ จังหวัด เพราะ มันคนละระบบ คนละยุคสมัย