คือตอนนี้โรงเรียนไม่ใช่ที่สำหรับศึกษาแล้วครับ แต่เป็นที่สำหรับหาสังคม เตรียมหางานให้กับลูกแล้วครับ แต่ที่น่าจะได้ความรู้มาสอบบ้างกลับเป็นกวดวิชาที่ผมเลือกไปเรียนเพิ่มเอง
สมัยผม ประถมยังไม่มีเรื่องแบบนี้ แต่พึ่งมาเจอกับตัวเองตอน ม.4 ที่ย้าย
โรงเรียนมาที่ รร.นึงที่อยู๋แถวลาดพล้าว ติดถนนวิภาวดี คือโรงเรียนดังๆนี่บอกเลย ครูหลายคนปล่อยเด็กครับ ถือว่าเด็กเรียนมาแล้ว มาถึงให้ทำเลย ไม่พูดละเอียดทั้งนั้น เด็กจำเป็นจะต้องเรียนกวดวิชาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผลที่ดีอย่างเดียวของระบบนี้คืออย่างน้อยสังคมที่เด็กเจอ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเรียน เด็กแข่งกัน ตอนสอบเข้ามหาลัยมันจะไม่ทรมานมาก แต่ก็นั่นหล่ะ ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ไม่ได้มีความสุขหรอก
ตอนนี้ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมคิดเลยว่าการเลือกโรงเรียนนี่แหละ ตัดสินชะตาชีวิตลูกคุณ (รุ่นผม ผมมองว่าตัดที่ ม.1 แต่รุ่นปัจจุบันนี้ไม่รู้ อาจจะร่นมาเหลือ ป.4 แล้วก็ได้)
อย่างผมที่พึ่งมาตั้งใจตอน ม.4 นี่ยังไม่ทันเลย กว่าจะตามระดับ ม.4 ที่นั่นทันก็ ม.5 ไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนบางคนที่เรียนกวดวิชาจะจบ ม.6 ภายใน ม.5เทอม2
ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเราจะปรับให้อยู่ในสังคมพรรนี้ เราต้องรีบให้ลูกทยอยเรียนล่วงหน้าให้ครบเร็วที่สุด ใช่ครับ สังคมบ้านเรา เล่นพรรค เล่นพวกมันเป็นแบบนั้น แค่สถาบันเดียวกัน ก็รับทำงานแล้ว
เช่น ถ้าคุณเข้ามหาลัยสีชมพูได้ ชีวิตคุณจะมีแต่คนรองรับ เพื่อน ป.โท ที่จบวิศวะที่นั่น พอจบมามันมาทำขายของออนไลน์ มันบอกว่าถ้ามันอยากกลับไปทำงานที่ ptt มันทำได้ตลอด มีรุ่นพี่พาเข้าได้สบาย
ยิ่งมองย้อนกลับไป ผมยิ่งอยากจะตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกๆ เด็กต่างจังหวัด ย้ายเข้ากรุง เสียเวลาปรับตัวไปเกือบสองเทอม ตั้งใจเรียนแค่ไหน อาจารย์สอนปล่อย เรียนยังไงก็เร่งไม่ทันพวกเด็กมีเงิน เรียนล่วงหน้า
คนพวกนี้จองที่ จองงานในสังคมไว้แล้วครับ พวกคนที่สอบเข้าไม่ได้ก็เป็นได้แค่ตัวเลือกรองๆลงมาเท่านั้น หลายคนอาจมองว่าตัดสินกันที่มหาลัย แต่จริงๆมันเริ่มตั้งแต่มัธยมแล้วครับ และนั่นคือรุ่นผม
สำหรับเด็กรุ่นนี้อาจจะตั้งแต่ประถมแล้วก็ได้....จริงอยู่ครับ มันอาจจะขัดกับช่วงพัฒนาการเด็ก แต่ถ้าเราจะอยู่ในสารขัณฑ์แลนด์แห่งนี้ มันจำเป็นครับ ถ้าไม่เริ่มให้เร็วก็จะไม่มีที่ดีๆยืนในภายหลังครับ