[quote/]
นั่นคิอของระดับที่เกรดบน แต่ที่คุยนี่คือขอฝทั่วไปในชีวิตประจำวันนะครับ
ท่านเคยลองไปกินของจีนราคาถูกในบ้านเรายัง ไปลองซื้อพวกของใช้ตามแอบส้ม เตมูมาใช้ยัง ลองไปดูสิครับจะรู้เลยว่า ของมันห่วยแค่ก๊อปมันจริง บริษัทชั้นนำที่ท่านยกมาในเชิงธุรกิจนั่นคือมันแข่งระดับโลก
อคติของจีน ผมไม่เป็นนะตอนแรก แต่เพราะไล่ตะลอนกินของจีนไปทั่วที่มาเปิดแถวบ้านนับ 10 ยี่ห้อ ลองสั่งของจากจีนมาลองนี่ละ ถึงเจอความห่วยของจริง
ในมุมมองธุรกิจผมมองจีนน่ะมาตีตลาดแน่ๆนานแล้ว เพราะรัฐไม่ตั้งมาตราการป้องกันให้ดี
การปรับตัวสำหรับกลุ่มทุนบริษัทขนาดใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับชาวบ้านที่บริโภคของทั่วไปมันคือการฆ่ากันทางเศรษฐกิจชัดเจน จะให้ปรับตัวยังไงผมถามแค่นี้
พัฒนาของใหม่มาขาย? ก็ดูการสนับสนุนภาครัฐแบะกลุ่มทุนใหญ่ทำแต่ละรอบสิครับ เป็นยังไงรอดกันไหมโดนกินรวบเข้ามาในทุนไม่ก็ฆ่าให้ตายทาบธุรกิจกี่หลายกิจการแล้ว
หรือไปรับของจีนมาขาย คนไทยทำมานานแล้วครับ เอากำไรน้อยมากด้วย แต่ก็แพ้จีนเข้ามาตีตลาดเองเพราะกำแพงภาษีต่างกัน ค่าขนส่ง นำเข้า ค่าตรวจสอบ ก็ 40~50% จากต้นทุนแล้ว แต่จีนที่เข้ามาเอง เอาสต็อกวางในเขตปลอดภาษีในไทยที่รัฐให้สิทธิ์ไว้ เอาของเข้ามาแบบไม่โดนภาษี รัฐจีนส่งเสริมลดภาษีให้ธุรกิจที่มารุกรานประเทศอื่น และให้เงินสนับสนุนด้วย ถามหน่อยจะปรับตัวยังไงให้รอด
ผมเพิ่งไปเจอคลิปอันนี้เข้ามา ฟังแล้วถึงได้รู้เลยว่าที่พวกเราคุยๆ กันน่ะ มันแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งของการที่ธุรกิจจีนมาตีตลาดไทยเท่านั้นเองครับ
สรุปส่วนที่ผมมองว่าสำคัญสำหรับคนไม่ดู
- ก่อนที่คนจีนจะเข้ามาเปิดธุรกิจที่ประเทศไหนน่ะ เขาจะมาเรียนในประเทศนั้นๆ ไม่ใช่แค่เอาความรู้เท่านั้น แต่มาศึกษาวัฒนธรรม อุปนิสัย ความเป็นอยู่ และภาษาของคนในประเทศนั้นๆ เป็นปีๆ เลย ก่อนจะเริ่มคิดเปิดธุรกิจ
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ดังที่ซุนวูกล่าวไว้
- ไทยน่ะไม่เคยมีการจัดสัมมนาอบรมความรู้ระหว่างผู้ประกอบการระดับรากหญ้าด้วย พวกประมาณร้านโชห่วยในจังหวัดเดียวกัน หรือชาวนาชาวไร่ในจังหวัดหรือกระทั่งภาคเดียวมารวมตัวพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความรู้ แต่จีนเขาทำครับ ในจังหวัด ในมณฑล เขามีสมาคมผู้ประกอบการอาชีพต่างๆ ของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้และเสนอไอเดียใหม่ๆ ประชุมกันเป็นประจำเหมือนพวกผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆ ชอบประชุมกันประจำเดือน หรือพวกสมาคมธุรกิจใหญ่ๆ ในบ้านเราแบบนั้น มันก็เลยทำให้ผู้ประกอบการจีนมีเลเวลสกิลสูงมาก
แม้ว่าผู้ประกอบการที่ว่าน่ะจะสเกลระดับร้านโชห่วยบ้านเราก็ตาม - ก่อนจะเริ่มธุรกิจ เขาไม่ได้ปุบปับ มีผลิตภัณฑ์ที่คิดว่าขายได้ก็เริ่มเลย เขาต้องมี Business Model โมเดลการทำธุรกิจก่อน แล้ววางโมเดลการทำธุรกิจตั้งแต่ต้นยันปลายน้ำเลย ตั้งแต่จะหาวัตถุดิบจากไหน จัดหาคนยังไง ร้านแบบไหน การจัดส่งของให้สาขาทำยังไง คุมคุณภาพทุกสาขาให้เหมือนกันหมดยังไง ฯลฯ เรื่องผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องรองครับ (น่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไมผลิตภัณฑ์เกรดต่ำมันถึงห่วยน่ะนะ ลำดับความสำคัญ)
แต่นักวิเคราะห์ในคลิปก็บอกนะครับว่า จะคิดโมเดลการทำธุรกิจก่อนแบบจีน หรือคิดผลิตภัณฑ์ดีๆ ก่อนแบบที่ไทยทำอยู่นั้น
มันก็ไม่ผิดทั้งสองแบบนะครับ... ถ้าหากเราคิดให้ตลอดรอดฝั่งแบบจีนในขั้นคิด Business Model ควบไปกับผลิตภัณฑ์ด้วยแค่นี้ก็เราก็ได้เปรียบจีนแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ไทยเราไม่ทำขั้นแผนธุรกิจนี่สิ...
- บูรณาการความรู้ ถ้าผมจำไม่ผิดโรงเรียนในไทยมันมีพูดเรื่องนี้สมัยตอนผมอยู่มัธยม แต่ไม่รู้ยังไงเงียบหายไป จีนเขารู้จักการเอาเรื่องที่มองเผินๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยมาประยุกต์ใช้ร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจของเขาลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกดราคาให้ขายถูกแต่มีกำไรได้ เช่นในคลิปที่ยกตัวอย่าง Luckin Coffee ที่เอาแอปออนไลน์มาให้ลูกค้าสั่งออนไลน์ล่วงหน้าในแอปแล้วเดินไปเอาที่ร้าน ทำให้ 1) ไม่ต้องเช่าที่ใหญ่มากเพื่อให้ลูกค้ามานั่งรอ ประหยัดต้นทุนค่าเช่าที่ร้าน 2) ไม่ต้องเสียเวลาและค่าจ้างฝึกพนักงานเรื่องการบริการลูกค้า ลูกค้ามาถึงก็รับกาแฟ จ่ายเงิน แล้วเดินออกไปเลย เป็นต้น
- ส่วนอันนี้ในคลิปเขาบอกมาทีจุกสุดๆ คือคนจีนคอมเม้นท์ว่า "คนไทยไม่เก่งขายของ และไม่ขยัน" ไอ้ไม่เก่งธุรกิจขายของน่ะไม่เท่าไหร่ อันนั้นมันปั้นเลเวลกันได้ แต่บอกไม่ขยันนี่...
พูดง่ายๆ คือที่เราเห็นโดนธุรกิจจีนบุกอยู่ตอนนี้ มันไม่ใช่ปุบปับก็มาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่มันวางเกมยาวมาเป็นสิบๆ ปีแล้วเพิ่งจะมาผลิดอกออกผลเอาตอนนี้ครับ