คำถาม คือ ถ้าชีวิต มนุษย์ มีค่ามากถึงขนาดเอามาแลกเปลี่ยนอะไรก็ได้
ทำไมเราไม่ทำฟาร์มเพาะพันธ์มนุษย์มาใช้ละ ถ้าทำเช่นนั้นหมายถึงเราได้
แหล่ง พลังงานไม่จำกัด เพาะพันธ์เด็กมาทำเตาพลังงานอนันต์กันเลย
และ มันมาสู่คำถามต่อว่า ถ้าการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
ชีวิตมนุษย์ เอาคุณค่าเหล่านั้นมาจากไหน แหล่งกำเนิดของชีวิต มันได้พลังาน
เหล่านั้นมาได้ไง
แหล่งของชีวิต มันคืออะไร และมันมีไม่จำกัดจริงหรือไม่ ถ้าแบบนาสุ ใช้ไปมากๆ
โลกก็แห้งตายแทนไง
นิยายจีนการปรุงยา ก็ต้องเอาวัตถุดิบเทพๆ มาใช้ แต่ก็เคยเห็นพรรคมารเอามนุษย์มากลั่นยาแทนใช้สัตว์อสูรก็มี
ส่วน การปรุงยาของจีนนี่พี่แกแบ่ง วัตถุดิบเป็น วัตถุดิบแบบมีชีวิตกับไม่มีชีวิตนะ
ไอ้ ผสมแล้วได้ดินปืนออกมา ไอ้ที่ใส่ๆ ไปคงไม่ใช่แค่ วัตถุดิบมีชีวิตแน่ๆ
ผมว่ามันมาจากรากฐานศีลธรรมของมนุษย์ครับเรื่องคุณค่าของวิญญาณมนุษย์นี่
ผมไปเจอหลายคนใช้มุกนี้ผมก็ตลกเหมือนกันแต่มันน่าจะมาจากแนวคิดที่นิยายหรือไลท์โนเวลหลายเรื่องใช้บ่อยยๆดดยไม่รู้ตัวจนไม่ว่าเรื่องไหนก็เมหือนกับเห็นตรงกันมีกฎจักรวาลเดียวกันโดยอ้อมๆไปแล้ว
อย่างจักรวาลนาสุหรือแขนกลอยู่กันคนละจักรวาลก็ยอมรับว่าหากฆ่าคนจะมีพลังมากพอในการทำพิธีกรรมปรกติที่ไม่สามารถทำได้เช่นปลุกชีพท่านพ่อ
หรือ
สร้างจอกที่ทำให้ได้เวทย์ที่แท้ทรู
ว่าเราดันเผลอกำหนดให้การฆ่าคนนับพันล้านหรือใช้วิญยาณวีรชนหกคนถึงจะทำได้
ทำไมไม่คิดบ้างว่าจะมีคนเลืกฆ่าคนพันล้าน?
มันคือจุดอ่อนของนักเขียนต่างๆทีก่ำหนดเนือ้เรือ่งให้ตื่นเต้น
แต่ลืมนึกไปแบบฝรั่งครับว่าหากเผลอให้คนฆ่าคนได้พลังมากเท่านั้นจริงๆโลกที่เหลือจะมีผลเป็นอย่างไร
ในจักรวาลนาสุก็มีบอกว่าอดีตมาสเตอร์ของเมเดียใช้ทาสและถังวิญยาณมนุษย์แต่โดนฆ่าไปก่อนเราอจจะมองว่าชั่วช้าสารเลวแต่ทำไมล่ะ?มันได้ผผลไหม?
ถ้าได้ผลแล้วหาว่าเขาทำผิดได้หรือ?เมือ่ได้ผลเราก็ต้องคิดให้มากๆว่าผลกระทบต่อสังคมในภาพรวมจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอ.นาริตะที่เขียนภาค starge fake -องจักรวาลเฟทก็กำหนดให้พวกมาเฟียเม็กซิโกฆ่าคนไปหลายหมื่นคนเพื่อสร้างผลึกพลังวิญญาณเพื่อให้เฮราคลีสจะได้สแปมพลังได้เรื่อยๆแบบไม่หมด
ความคิดแบบอ.นาริตะ ถือว่าใกล้เคียงกับพวกเนิร์ดฝรั่งมากกว่าล่ะครับคนที่ชอบเล่นเกมสืกระดานจะมีนิสัยชอบมองกฎและพยายามจะแหกกฎอย่างที่ว่ามา
จุดสูงสุดของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ที่ยกย่องกันคือ
เปลี่ยนโลหะให้เป็นทอง
สร้างยาอมะตะ
สร้างมนูษย
ซึ่ง นักเล่นแร่แปรธาตุเชื่อว่าหากสร้างศิลานักปราชญได้จะสามารถทำทั้ง 3 อย่างนี้ได้
จริงๆมันก็คือการเหยียบเข้าไปในดินแดนของพระเจ้านั่นแหละ
สังเกตดีดีที่ว่ามาคือไม่ใช่พลังที่ระเบิดภูเขาเผากระท่อมแต่คือสิ่งที่ตอบสนองความอยากของมนุษย์มากกว่า
ดังนั้นหากจะแปลว่าเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่ด้านการต่อสู้ แต่คือด้านการตอบสนองต่อความปรถรถนาของมนุษย์น่าจะตรงประเด็นกว่า
เช่นการจะบูชายัญ
ที่ผมเจอมุกคือ
สิ่งสำคัญในกระบวนการไม่ใช่"วิญญาณ"ของมนุษย์ที่ตายไปแต่คือ
ความรู้สึก
ของคนที่ทำพิธีต่างหาก
ที่จะทำให้พิธีกรรมการแลกเลปี่ยนคืนชีพนั้นมีผล
แต่หากใช้มุกนั้นกมกุของตัวร้ายในนิยายไลท์โนเวล โชวเน็นเนหือธรรมชาติต่างๆจะไปไม่เป็นทันที
เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมในพิธีคืนชีพของ "ท่านผู้นั้น"
ตัวร้ายถึงได้ฆ่าคนจำนวนมากกันง่ายๆโดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรกับเหยื่อที่ตนเองฆ่า
[quote/]
ผมแค่อธิบายว่า การเล่นแร่แปรธาตุ มันครอบคลุมถึงการผสมโลหะ และการสร้างโลหะแฟนตาซีด้วยครับ
โลหะแฟตาซีอย่าง มิธทริล อดามันไทต์ และ โอริฮาลคัม คือไม่จำเพาะว่า ผสมโลหะเพื่อสร้างโลหะผสม แต่หมายถึง การสร้างโลหะผสม และการค้นคว้าสร้างโลหะแฟนตาซี เหตุผลที่ไม่จับเรื่องโลหะแฟนตาซีไปไว้ในหัวข้อการถลุงแร่ ก็เพราะว่ามันอยู่ในเรื่องของ"การแปรธาตุ" หมายความว่า มันไม่ได้สร้างโลหะแฟนตาซีจากแร่แฟนตาซี แต่มันแปรธาตุจากสิ่งอื่มกลายมาเป้นโลหะแฟนตาซี
may the กาว be with you.
มุกตามปราณยุทธจีนการเล่นแร่แปรธาตุปรุงยาคือธาตุทองหรือโลหะที่ไม่ใ่แปลว่าธาตุทองตามความหมายทั่วไปแต่ความหมายคือการเปลี่ยนแปลงครับ
กาวกันให้มันมึนๆไปข้างหนึ่ง
[quote/]
ผสมโลหะไม่ใช่เรื่องแฟนตาซีนะครับ มันแค่เป็นการทำให้คุณสมบัติของโลหะดีขึ้น แต่ถูกลงเท่านั้นเอง
เช่น ทองเหลือง = ทองแดง + สังกะสี, นาก = ทองแดง + ทองคำ + เงิน, เหล็กกล้า = เหล็ก + โครเมี่ยม + แมงกานีส, นิโครม = นิกเกิ้ล + โครเมี่ยม, สำริด = ทองแดง + ดีบุก
นอกจากนี้ก็จะมี ทองคนโง่ = เหล็ก + กำมะถัน (อันนี้มีการทำปฏิกิริยาทางเคมีกัน)
เรื่องนี้ผมเห็นต่างเล็กน้อยครับในสายตาของชาวบ้านระหว่างการทำสบู่กับดพชั่นโดยอัลเคมิสต์ไม่ต่างกันเท่าไรครับ
มุกจักรวาล warhammer oั่นล่ะว่าอัลเคมิสต์เป็นทีต้องการตัวมากจากการทำน้ำหอม สบู่ ดินปืน ฯลฯที่เป็นที่ต้องการของประชาชนด้วยค่าจ้างแพงๆ
แต่อัลเคมิสต์นั้นหยิ่งมากไม่คิดจะไปทำของธรรมดาอย่างนั้นอยากหาความลับของจักรวาลมากกว่า
alchemy มันกว้างมาก ความหมายมันรวมเกือบทั้งหมด
1. เคมี แน่นอนตรงตัวที่สุด ผสมสารนู่นนี่นั่น
2. ฟิสิกส์ เช่นต้มน้ำเดือดปุดๆที่ลงไปแช่แล้วแค่อุ่นๆ
3. การปรุงยา น้ำอมฤต
4. การถลุงแร่ รีไฟนารี่
5. การผสมโลหะ การสร้างโลหะแฟนตาซี
6. วัสดุศาสตร์ การสร้างวัสดุอโลหะแฟตาซี
7. วิญญาณเทียม AI
8. โรโบติก โกเล็ม
9. พันธุวิศวกรรม การสร้างคิเมร่า และเนโครแมนเซอร์
10. ศิลานักปราชญ์/หินนิ่ม/ผลึกแห่งความรู้/หินวิญญาณ (คำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Bio Optical Computer)
11. โฮมูนครูซ(homunculus) ชีวิตเทียม
12. การย้ายวิญญาณ การเปลี่ยนร่าง เช่นย้ายวิญญาณจากมนุษย์ไปสู่เครื่องจักร หรือเปลี่ยนจากมนุษย์ไปเป็นเซเลสไทต์(celestite) หรือสิ่งมีชิวิตระดับอวกาศ
ปล. ผมแก้คำอธิบายเพิ่มนิดหน่อยเพราะกลัวคนอ่านจะเข้าใจผิด
เอาจริงๆ alchemy นี่มันพอๆกับการบำเพ็ญพรตเพื่อเป็นเซียนของลัทธิเต๋าเลยครับ คือมันครอบคลุมเกือบทุกศาสตร์ ไม่อยู่ในกรอบจำกัดใดๆ เพราะมันเป็นการแสวงหาความรู้เพื่อฉีกออกนอกกรอบนั้นๆ เช่นถ้าคุณบอกว่ามันอยู่ภายใต้กฏอนุรักษ์พลังงาน alchemy ก็มีการค้นหา อีเทอร์
และอนุภาคแฟนตาซีอื่นๆ(เหมือนควันตัมฟิสิกส์) ซึ่งความเชื่อเรื่องขี้เถ้า(จากการเผาศพ)ของพระเจ้า หรืออนุภาคที่ให้กำเนิดพลังงานจากความว่างเปล่า ก็มีมานานแล้ว โดยรวมอยู่ใน alchemy เหมือนกัน และนอกจากพลังานอนันต์แล้ว ยังมีความพยายามมองหาอนุภาคที่เดินทางข้าเวลาอีกด้วย อย่างที่บอกว่าพอกับการเป็นเซียนเลย กรอบของ alchemy ผมคิดว่าไปหยุดที่การย้ายร่างไปเป็น สิงมีชวิตระดับอวกาศที่เดินทางข้ามเวลาได้ เดินทางข้ามอวกาศได้ นั่นแหละครับ กรอบอื่นๆอย่างกฏเคมี กฏฟิสิกส์ หรือกฏแฟนตาซีอย่างเวทมนต์ จริงๆแล้วเป้นเพียงข้อจำกัดทางความรู้ของตัวบุคคลเอง แต่เนื้อหาของ alchemy จริงๆนั้นกว้างและครอบคลุมแทบจะไร้ขีดจำกัด
ผมไปเจอการบรรยายของฝรั่งว่าการบ่มเาพะที่แท้จริงคือInternal alchemy
ที่บอกว่าคือการเพาะสร้างเมล้ดจินตันในร่างกายเราเปลี่ยนตนเองเป้นยาส่วนตะวันตกพยายามจะเปลี่ยนสิ่งของภายนอกเป็นยา
ซึ่งว่ากันตามตรงสองแนวคิดนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันครับเพระามันแปลว่ารับจับมนุษย์มาปรุงเป็นยาได้เช่นกัน
ที่ผมบอกว่าไม่มีความเท่าเทียมในการแปรธาตุและยกเอาซีรี่อาทิลิเย่มาเพราะฟลูเมทัล มันมองยังไงก็เวทจอมเวททุกอย่างที่มีในเรื่องจะแกนแท้ประตูทุกๆอย่างเว้นไอเทม บางอย่างที่เรารู้จักอย่างเช่นศิลานักปราญถ้าเป็นจากคำว่าแปรธาตุเป็นคำว่าเวทมนต์ มันจะไม่มีอะไรแปลกเลยและแปรธาตุไม่มีคำว่าเท่าเทียมเอาของที่เรารู้จักอย่างศิลานักปราญ ที่ไห้ชิวิตอมตะและความมังคังไม่สิ้นสุดคำถามคือจะเอาอะไร ที่เท่าเทียมไปแลกเปรียนมันไม่มีเลยต่อไห้เอาคนทังโลกหรือโลกทังใบผมว่ส ก็ไม่มีทางเท่าเทียมกับของที่ทำไห้เป็นอมตะและผลิตทรัพยากรได้ไร้ขีดจำกัด แม้แต่เครืองจักรนิรันที่ทำงานได้ไม่มีวันหมดผมว่าก็ไม่มีอะไรแลกเปรี่ยนได้แล้ว การเล่นแร่แปรธาตุอย่างที่ผมเคยบอกมันคือเอาเงินบาทเดียวไปแลกเงินแสนและไร้ขีดจำกัด มันไม่ไช่อะไรที่เท่สเทียมฟูลเมทัลก็จะสร้างศิลานักปราญที่ทำไห้เป็นอมตะ แต่ไช้คนหลายแสนหลายล้านก็แลกไร้ขีดจำกัดได้เนี่ยเหรอความเท่าเทียม แค่่ตบแปะเรียกตึกดีดีนี้วเผาคน นี่ก็ไม่เห็นต้องไปไช้อะไรแลกถ้าบอกว่สไช้เวทตัวเอง มันต่างจากเวทตรงไหนเดิมที่คำว่าแลกเปรี่ยนที่เท่าเทียมมีแต่เวทเท่านั้น ถ้าระบุเรื่องก็เวทนิรมิตของชานะที่ทำอะไรก็ได้ถ้ามีสิ่งแลกเปรี่ยนที่เท่าเทียม แต่คำว่าแปรธาตุสุดท้ายก็จะเอาสิ่งแลกเปรี่ยนเล็กน้อยไปแลกสิ่งยิ่งใหณ่ชนิดไร้ขีดจำกัดอยู่ดี จะบอกว่าแค่มีความรู้ก็สร้างอมตะขึ้นได้เหรอสิ่งแลกเปรี่ยนน้อยเกินไปไหม ดังนั้นถ้าจะถามขีดจำกัดของการแปรธาตุอาทิลิเย่มันสมเหตุผลที่สุดแล้ว คุณจะสร้างอะไรก็ได้แต่ต้องมีความรู้พลังวัตถุดิบ
นั่นล่ะครับประเด็นล่ะ
หากคิดอย่างนั้นอัลเคมิสต์คือสายวิชาที่ pay to win มันอันตรายมากๆต่อเนือ้เรื่องหากกำหนดวิชาไปเช่นนั้น
ผมนกึถึงมุการ์ตูนแร็กนาร็อกสมัยก่อนที่มีสาวน้อยสายแม่ค้าใช้พลังเงินตราในการโจมตีระดับบอสจนตายได้
มันหมายความวว่าหากมีเงินมากพอ
บอสจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปผมมองว่ามันอันตรายในจุดนี้ล่ะครับ
ในแขนกลฯวิญญาณมนุษย์ใช้แล้วหมดไปครับ ตอนจบพ่อของพระเอกสู้กับบอสใหญ่ของเรื่องจากที่มีวิญญาณเป็นหมื่นดวงใช้ไปใช้มาเหลือแค่วิญญาณของตัวเอง ส่วนบอสใหญ่ก็ใช้ไปจนเกือบหมดเหมือนกัน
นั่นเราอาจจะแถว่าเพระาระดับยอดฝีมือสู้กันเองและดันมีศิลาอาถรรพ์ทั้งสองฝ่ายแต่ตามสายตานักแปรธาตุโดยทั่วไปทั้งสองท่านพ่อทำตัวไม่ต่างจกาเทพเจ้าหรือบุคคลในตำนานที่ทำสิ่งที่คนทั่วไปทำไมไ่ด้น่ะครับ
ผมไปเจอคนแต่งนิยาย/เควสต์ของฝรั่งในจักรวาลแขนกลที่มองว่าตนเองเสียดวงตาไปจกาการหาประตูของแก่นแท้
แต่ไมไ่ด้คิดอะไรมองว่าดวงตาแลกกับความรู้ด้านการเล่นแร่แปรธาตุถือว่าเท่าเทียมกันแล้ว
เปรียบเปรยประมาณพระเอกเรื่อง
Ajin
ล่ะมั้งครับที่ทำตัวเป็นคนมีเหตุผลจนไม่น่าคบคนที่ทรมานผ่าตัดร่างกายตนเองก็ยังสามารถคุยกันได้ตามปรกติหลังจากเรื่องนั้นผ่านไปแล้ว
มันน่ากลัวแบบแปลกๆเหมือนกัน