สรุปย่อสำหรับคนขี้เกียจอ่าน
[ก่อนที่กาแฟจะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ กาแฟเคยถูกสั่งห้ามจากผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงในดินแดนต่าง ๆ ด้วยเหตุผลเรื่องศีลธรรม แต่ความเป็นจริง เกิดจากความกลัวว่า กาแฟจะทำให้คนตาสว่างและลุกฮือต่อต้านอำนาจชนชั้นสูง]
-----
‘วันหนึ่งคุณกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ แต่ปรากฏว่ามีอะไรสักอย่างฟันไปที่คอของคุณ และชั่วพริบตาเดียว คอของคุณก็ขาดกระเด็น’
คุณอาจจะไม่เชื่อว่า เรื่องที่ว่านี้เคยเกิดขึ้นจริงหรือ แต่ถ้าจะบอกว่า มันเคยเกิดขึ้นในจักรวรรดิออตโตมันช่วงศตวรรษที่ 17 ล่ะ?
ภายใต้สุลต่านมูราดที่ 4 (Murad IV) พระองค์ได้ออกกฎหมายว่า ใครก็ตามที่ดื่มกาแฟภายในจักรวรรดิของพระองค์จะมีโทษถึงตาย
มีเรื่องเล่าว่าสุลต่านมูราดจะปลอมตัวเป็นสามัญชนพร้อมกับถือดาบหนักร้อยปอนด์ เดินไปมาตามท้องถนนในอิสตันบูล และเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังดื่มกาแฟอยู่ สุลต่านมูราดก็จะเดินเข้าไปหา และใช้ดาบฟันผู้เคราะห์ร้ายจนคอขาด
ไม่ใช่แค่สุลต่านมูราด เพราะสุลต่านที่สืบทอดต่อจากพระองค์ ก็ได้มีมาตรการลงโทษคนดื่มกาแฟ ด้วยการจับยัดใส่กระสอบหนังแล้วปล่อยให้ลอยน้ำจนตาย
แล้วเหตุใดการดื่มกาแฟในจักรวรรดิออตโตมัน มีโทษร้ายแรงถึงขั้นตายได้เลย?
ในตอนนั้นผู้นำศาสนาของออตโตมันได้ออกมาประกาศว่า การดื่มกาแฟเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักศาสนา เพราะการดื่มกาแฟจะทำให้ผู้ที่ดื่มประพฤติตัวเสื่อมเสียต่อศีลธรรมอันดีงาม
แต่สำหรับมาร์ค เพนเดอร์กราสท์ (Mark Pendergrast) ผู้เขียนหนังสือ Uncommon Grounds: The History of Coffee and How It Transformed Our World ได้เปิดเผยผ่านหนังสือของเขาว่า เหตุผลจริง ๆ ที่ทำให้กาแฟเป็นเรื่องต้องห้ามของออตโตมัน มาจากเหตุผลทางการเมือง
“คนที่ดื่มเหล้ามักจะมึนเมาร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน ส่วนคนที่ดื่มกาแฟจะยังคงมีสติและวางแผนต่อต้านรัฐบาลได้” สจ๊วต ลี อัลเลน (Stewart Lee Allen) ผู้เขียนหนังสือ The Devil's Cup: Coffee, the Driving Force in History อธิบายเพิ่มเติม
ดังนั้นเหตุผลที่ทำให้จักรวรรดิออตโตมันต้องออกกฎลงโทษคนดื่มกาแฟด้วยความรุนแรง ก็เพราะกลุ่มชนชั้นปกครองเกิดความหวาดระแวงว่า กาแฟจะทำให้อำนาจของพวกเขาสั่นคลอนได้
ตามมุมมองของชนชั้นปกครอง พวกเขามองว่าคนที่ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาต่าง ๆ จะพากันเอาแต่เมามายไม่ได้สติ ทำให้คนพวกนี้ไม่มีเวลาจะต่อต้านพวกเขา
แต่กรณีของคนที่ดื่มกาแฟ กาแฟจะทำให้คนที่ดื่มมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา และด้วยความที่มีสติอยู่ตลอดเวลานี่แหละ ที่จะทำให้คนเหล่านี้วางแผนท้าทายอำนาจของชนชั้นปกครอง จนถึงขั้นเลยเถิดกลายเป็นการปฏิวัติได้เล
ซึ่งความเชื่อที่ว่า กาแฟสามารถทำให้อำนาจของชนชั้นปกครองสั่นคลอนได้นั้น นอกจากในจักรวรรดิออตโตมัน ความเชื่อดังกล่าวยังเกิดขึ้นตามดินแดนต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้นด้วย
ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย (Frederick the Great of Prussia) ที่ทรงออกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการนำเข้ากาแฟ และรณรงค์ให้ประชาชนหันมาดื่มเบียร์ที่เป็นเครื่องดื่มประจำชาติของชาวเยอรมันแทน
อังกฤษในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 (Charles II) พระองค์ก็ออกคำสั่งให้ปิดร้านกาแฟทุกร้านในอังกฤษ เพราะพระองค์เชื่อว่าร้านกาแฟเป็นแหล่งชุกชุมของผู้ที่ต่อต้านอำนาจพระองค์
แม้แต่ศาสนจักรคาทอลิกเอง ก็เคยออกมาประกาศว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มของซาตาน แต่สุดท้ายพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 (Pope Clement VIII) ก็ได้ยกเลิกคำประกาศดังกล่าว และพระองค์ยังเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่ได้ดื่มกาแฟอีกด้วย
“ทำไมเครื่องดื่มของซาตานถึงได้อร่อยขนาดนี้ น่าเสียดายที่มีแต่พวกนอกศาสนาเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองรสชาติมัน” พระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 กล่าวถึงกาแฟ
ที่สำคัญเหตุการณ์ปฏิวัติครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติอเมริกา รวมถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส กาแฟก็นับว่ามีส่วนสำคัญต่อการปฏิวัติทั้งสองนี้ เพราะร้านกาแฟก็คือสถานที่รวมตัวของเหล่าปัญญาชน นักคิดนักเขียน รวมถึงนักปฏิวัติ ที่ใช้เป็นสถานที่พูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของพวกเขา
จึงไม่แปลกที่ร้านกาแฟจะรู้จักกันในชื่อ ‘สภากาแฟ’ และความพยายามของชนชั้นสูงที่ทำโดยมาตลอด ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เคยประสบความสำเร็จแม้แต่น้อย
ดังนั้นบางทีถ้าไม่มีกาแฟอยู่ในประวัติศาสตร์ โลกของเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้ก็เป็นได้
-----
อ้างอิง
• npr. Drink Coffee? Off With Your Head!.
https://www.npr.org/sections/thesalt/2012/01/10/144988133/drink-coffee-off-with-your-head?fbclid=IwAR08MRyeaFh-TQjufNbW-9FaZODmcdY8E8jdgqYS4u6sAPbLBJySxheMWlE• HISTORY. How Coffee Fueled Revolutions—and Revolutionary Ideas.
https://www.history.com/news/coffee-houses-revolutions?fbclid=IwAR1x36WH0-1BdF6byN6NiQY43qXhkynz1G276Z4N9FApd3RCizNyRbBtWqM#HistofunDeluxe
https://web.facebook.com/photo/?fbid=909210677878049&set=a.439959818136473