ไม่มีครับผม นี่ผมเตือตไว้ก่อนนะครับ
หากมีคนแนะนำว่างานอะไรกำไรเกินกว่า 10% ต่อเดือนให้มองว่าเป็นพวกต้มตุ๋นทันที
คนรู้จักผมโดนหลอกไป และท่านกำลังแต่งงานด้วย
กลัวว่าเกิดอะไรขึ้นจะเสียทั้งเงินและความสัมพันธ์
....
ลองอ่านหนังสือประเภท "อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ" น่าจะเข้าใจง่ายและเปฌนแระโยขน์กว่าหนังสือแนะนำการลงทุนประเภท "พ่อรวยสอนลูก"
ท่านจะค้นพบสาเหตุว่าทำไมคนเราถึงจน
และทำไมการยกเลิกโครงการหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทถึงทำให้ประชาชนหมดโอกาสลืมตาอ้าปากอีกทางหนึ่ง
...
วิเคราะห์ท่าน deaddy ที่ว่าเอาแรงเข้าว่านั้นถูก แต่ทางเทคนิคเวลาเรามีจำกัด แรงงานที่ทำได้คือแรงงนนไร้ฝีมือ อย่างที่ยกตัวอย่าง
อธิบายคือ ธุรกิจและการลงทุนคือเรื่องอัตราส่วน
กำไรมีไม่เกินกี่ % ของทุน
ประขาชนเข้าถึงทุนไม่ได้หากไม่มีสินทรัพย์
เข้าได้หากมีที่ดินของลรรพบุรุษประกัน ก็ต้องคำนวณว่า กำไรสู้อัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่?
และคนก็มาด่าเราว่าไม่ขยันถึงยากจน
ปัญหาคือ ขาดทุนและทักษะนั่นล่ะ
มีทุนและทักษะ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะ นี่ล่ะ ทุนนิยมล่ะ
ให้ไปลงทุนกับเงิน 0 นี่นะ ไปกู้ก็ใช่ว่าจะไม่ขาดทุน
ขายแรงง่ายสุดแล้ว จะทำกิจการส่วนตัวถ้าเจ๊งก็เสียเวลาเปล่า ลงทุนก็ต้องรอนานๆได้
จะกู้เงินเดือนไม่เหลือ ก็เตรียมอนาทได้เลย
ลืมส่วนสำคัญเลยครับ งานหลักผมมันสายเดินทางออกต่างจังหวัดตลอด ทำให้หางานเสริมได้ยากมาก ยิ่งความรู้เฉพาะทางก็ไม่มียากไปใหญ่
ส่วนด้านลงทุนก็มีฟอเร็กซ์ที่พักไว้อยู่ช่วงนี้เพราะพึ่งจะล้างพอร์ตไป ด้วยเงินก้อนทั้งหมดที่มี ส่วนด้านการเปิดกิจการก็ไม่น่าไหวในตอนนี้ แต่ก็มีแพลนว่ามีเงินก็จะหาทำเหมือนกัน อย่างน้อยๆถ้ามันมั่นคงพอก็น่าจะถูไถกับว่าทีพ่อตาได้อยู่ละนะ
ปล.เรื่องความเสี่ยงผมไม่ได้มีปัญหาในตอนปกติ แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนเล่นเกมสปีสรันแบบโนดาเมจ เลยทำให้ปวดกบาลมากและรู้สึกอยากนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปโบกตัวเองในช่วง20ต้นๆที่ใช้ชีวิตแบบเต็มลิมิตมาก
ถ้าช่วงเศรษฐกิจดีแต่ก่อน แน่ะนำหิ้วของฝากครับ
เดี๋ยวนี้ยากขึ้นเพราะขายออนไลน์เยอะ
แต่ถ้าไปต่างประเทศของหิ้วก็ยังราคาดีนะ
แต่ให้แน่ะนำจริงๆ 5 ปีน่ะ ไปหาความรู้แล้วเปลี่ยนงานดีกว่า
ที่พ่อแม่สาวบอก 5 แสนน่ะเพราะกลัวลูกลำบากมากกว่า
แต่ลองสอบเรียนแพทย์ได้นี่ เรียนยังไม่จบก็คงได้แต่งนะ
รึสอบเนติได้ ก็น่าจะได้แต่งนะ
หรือไปทำงานต่างประเทศ
งานเยอะนะที่ทำได้ใน 5 ปี แต่แทบทั้งหมดใช้ความรู้