อัพเดตข่าวยูเครน วันที่ 185 ของสงคราม Part 36. เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าว “เดอะนิวยอร์กไทมส์” (The New York Times) ของสหรัฐ ได้รายงานข่าวการค้นพบสถานกักกันกว่า 21 แห่งภายในเขตยึดครองของกองทัพรัสเซียในยูเครน ซึ่งถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ “ระบบคัดกรอง” (Filtration System) เพื่อคัดแยกระหว่างทหารและประชาชนยูเครนจากในเขตยึดครองของกองทัพรัสเซีย
การค้นพบครั้งนี้ มาจากการร่วมมือกันของศูนย์ผู้สังเกตการณ์ความขัดแย้ง (Conflict Observatory) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐในเดือนพฤษภาคมเพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมข้อมูลด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัสเซียในยูเครน กับศูนย์วิจัยด้านสิทธิมนุษยชน (Humanitarian Research Lab) ของมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐ โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียมต่างๆ ในการตรวจสอบและแหล่งข่าวกรองอื่นๆ พวกเขาพบว่าบรรดาพลเมืองและเชลยศึกทหารยูเครนที่ถูกส่งไปยัง “ค่ายคัดกรอง” (Filtration Camp) เหล่านี้ จะถูกบังคับให้พำนักอาศัยอยู่ภายในเขตยึดครองของรัสเซียในยูเครน ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ถูกบังคับย้ายถิ่นฐานไปยังรัสเซีย หรือแม้แต่ถูกสังหาร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีรายงานเช่นนี้ออกมา ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน สภาข่าวกรองแห่งชาติ (National Intelligence Council) ของสหรัฐ ได้รายงานถึงการค้นพบ “ค่ายคัดกรอง” จำนวน 18 แห่งภายในเขตยึดครองของกองทัพรัสเซียทางภาคตะวันออกของยูเครน และในจังหวัดชายแดนของรัสเซียที่ติดกับยูเครน
รายงานที่เปิดเผยออกมาในครั้งนี้ได้กล่าวถึงรูปแบบการทำงานของ “ค่ายคัดกรอง” ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ค่ายการทะเบียน พื้นที่ควบคุมตัวชั่วคราว พื้นที่สอบสวน และห้องขัง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงรายงานการทารุณกรรมและการทรมานร่างกาย การขาดแคลนน้ำดื่มและอาหารในหมู่นักโทษ สภาพสุขอนามัยของสถานควบคุมที่ย่ำแย่ และสภาวะแออัดภายในเขตกักกัน
รายงานยังได้กล่าวถึงการค้นพบหลุมศพขนาดใหญ่ในพื้นที่ต่างๆ และยกตัวอย่างของหลุมศพที่ถูกขุดขึ้นบริเวณเรือนจำเมืองโอเลนิฟกา (Olenivka) ก่อนหน้าจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้นในวันที่ 29 ก.ค. เมื่อมีรายงานการยิงปูพรมเข้าใส่เรือนจำ ส่งผลให้เชลยศึกทหารยูเครนเสียชีวิต 53 นาย บาดเจ็บ 75 นาย ซึ่งจากการตรวจสอบโดยของนักวิเคราะห์หลายสำนัก พบว่าทางฝั่งรัสเซียได้มีการเตรียมการขุดหลุมฝังศพขนาดใหญ่ใกล้กับเรือนจำเอาไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกองทัพรัสเซีย
7. ในขณะที่ชาติสมาชิกนาโต้และสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ต่างพากันคว่ำบาตรรัสเซีย ฮังการียังคงเป็นชาติเดียวที่แสดงท่าทีในการร่วมมือกับรัสเซียอย่างแข็งขัน ล่าสุดรัฐบาลฮังการีได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ร่วมกับบริษัท “รอสอะตอม” (State Atomic Energy Corporation Rosatom) รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย
โครงการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพิ่มเติมครั้งนี้ มีมูลค่ามากถึง 12,500 ล้านยูโร (450,000 ล้านบาท) ในจำนวนนี้กว่า 10,000 ล้านยูโร (360,000 ล้านบาท) เป็นเงินกู้ยืมจากรัสเซีย ขณะที่อีก 2,500 ล้านยูโร (90,000 ล้านบาท) เป็นเงินลงทุนจากรัฐบาลฮังการี เป้าหมายของโครงการคือการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์พักซี (Paks Nuclear Power Plant) เพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ซึ่งในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าพักซี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพียงแห่งเดียวของฮังการี เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้ามากถึง 40% ของประเทศ
ด้านนายปีเตอร์ ซียาร์โต (Péter Szijjártó) รมว.การต่างประเทศและการค้าของฮังการี ได้กล่าวว่าการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และคาดการณ์ว่าเตาปฏิกรณ์ใหม่ทั้งสองจะสามารถเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2030
8. ในขณะที่ชาติตะวันตกอื่นๆ กำลังเตรียมการสำหรับแผนการฟื้นฟูบูรณะยูเครนหลังสงคราม ลิธัวเนียได้ทำการนำร่องไปก่อนแล้วด้วยการประกาศโครงการฉุกเฉินเพื่อการบูรณะประเทศยูเครนขึ้น โดยโครงการแรกนั้นจะครอบคลุมการก่อสร้างบ้านเรือนสำเร็จรูปและการบูรณะโรงเรียนในเมืองโบโรเดียนกา (Borodianka) โรงเรียนอนุบาลในเมืองเออร์พิน (Irpin) และสะพานข้ามแม่น้ำทรูบิจ (Trubizh River) ทางตะวันออกของจังหวัดเคียฟ (Kyiv Oblast)
อ้างอิงจากการประกาศของ น.ส.อินกรีดา ซิโมนีเต (Ingrida Šimonytė) นายกรัฐมนตรีลิธัวเนีย และนางอุสรีเน อาร์โมไนเต (Aušrinė Armonaitė) รมว.เศรษฐกิจและนวัตกรรมของลิธัวเนีย โครงการฉุกเฉินนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
8.1 การก่อสร้างบ้านเรือนสำเร็จรูปในเมืองโบโรเดียนกา จังหวัดเคียฟ คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 1 ล้านยูโร (36 ล้านบาท) และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
8.2 การบูรณะสะพานข้ามแม่น้ำทรูบิจ ซึ่งเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างจังหวัดเคียฟกับจังหวัดซูมี (Sumy Oblast) ทางตะวันออก คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 2 ล้านยูโร (72 ล้านบาท) และคาดว่าการบูรณะจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีหน้า
8.3 การอนุรักษ์และการบูรณะโรงเรียนในเมืองโบโรเดียนกา จังหวัดเคียฟ คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 4,500,000 ยูโร (160 ล้านบาท) และคาดว่าจะเริ่มการอนุรักษ์อาคารเรียนได้ภายในปีนี้ ก่อนเริ่มทำการบูรณะโรงเรียนภายในปีหน้า
8.4 การบูรณะโรงเรียนอนุบาลในเมืองเออร์พิน จังหวัดเคียฟ คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 3,300,000 ยูโร (120 ล้านบาท) และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนกันยายนของปีนี้
นอกจากลิธัวเนีย ออสเตรียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้แสดงเจตจำนงต้องการเข้าร่วมแผนการบูรณะจังหวัดเคียฟ โดยอ้างอิงจากนายโอเล็ก นิโคเลนโก (Oleg Nikolenko) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ได้กล่าวว่ารัฐบาลออสเตรีย ร่วมกับองค์กรการกุศล “คาริตัสออสเตรีย” (Caritas Österreich) วางแผนจะช่วยซ่อมแซมและบูรณะอาคารบ้านเรือนต่างๆ ภายในจังหวัดเคียฟ คิดเป็นจำนวนทั้งหมด 3,000 หลังคาเรือน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 5 ล้านยูโร (180 ล้านบาท)
ที่มา: