เว็บติดตามสถานการณ์ในยูเครนแบบ Live Map

[pol]

ถ้าอย่างนั้นไทยควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเพราะตอนนี้อาวุธของรัสเซียน่าจะขายยากและมีราคาถูก  โดยการไปซื้อรถถัง T 72  รุ่นป้อมบิน มาใช้งานดีไหมครับ? 5555

[nosta]

ถ้าอย่างนั้นไทยควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเพราะตอนนี้อาวุธของรัสเซียน่าจะขายยากและมีราคาถูก  โดยการไปซื้อรถถัง T 72  รุ่นป้อมบิน มาใช้งานดีไหมครับ? 5555

เราเคยซื้อรถถังยูเครนตอนมีสงครามผลคือส่งมอบช้ามากเพราะต้องใช้รบเองก่อน

[sariora123]

ถ้าอย่างนั้นไทยควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเพราะตอนนี้อาวุธของรัสเซียน่าจะขายยากและมีราคาถูก  โดยการไปซื้อรถถัง T 72  รุ่นป้อมบิน มาใช้งานดีไหมครับ? 5555

บางคนเขาเรียกระบบ ดีตัวอัตโนมัติ ครับ 

[samuison]

บางครั้งผมรู้สึกว่า

สงครามที่แท้จริง เราต้องมองเป้นซิมซิตี้ หรือแบบที่ทาเนียมองล่ะถูกแล้วมองเป้นเรื่องทรัพยากรที่เราสามารถใช้หรือเสียไปได้มากแค่ไหน
การที่มีเทคโนโลยีที่ก้้าวหน้าขึ้น ทำให้คนมองเห็นข้อเสียของหลายๆอย่างในสงครามครั้งนี้
ว่าของไฮเทคมีข้อเสียคือต้องฝึกนานและต้องใช้เทคโนโลยีสูง
แต่ผลคือชนะแน่

[deaddy]

บางครั้งผมรู้สึกว่า

สงครามที่แท้จริง เราต้องมองเป้นซิมซิตี้ หรือแบบที่ทาเนียมองล่ะถูกแล้วมองเป้นเรื่องทรัพยากรที่เราสามารถใช้หรือเสียไปได้มากแค่ไหน
การที่มีเทคโนโลยีที่ก้้าวหน้าขึ้น ทำให้คนมองเห็นข้อเสียของหลายๆอย่างในสงครามครั้งนี้
ว่าของไฮเทคมีข้อเสียคือต้องฝึกนานและต้องใช้เทคโนโลยีสูง
แต่ผลคือชนะแน่

ก็ยังไม่แน่ครับมันมีเชิงปริมาณ คุณภาพ และกฏ
คือมีมือ sniper rifle ที่ยิงเข้าเป้า 100% 1 คน กับ เอาคนถือปืนพก 100+ คน วิ่งผ่านป่าไปรบกัน 100 คนมันก็ชนะได้


แต่ถ้า 1 คนคือเครื่องบินทิ้งระเบิด กับ 1000 คนถือปืนพก เครื่องบินก็ชนะขาด
แต่ถ้ามีงบอาวุธเท่ากัน ถ้าไม่ใช้นิวเคลียร์ เครื่องบินทิ้งนะเบิดจนหมด ก็อาจจะไม่ชนะ เพราะเป้ามันเยอะเหลือเกิน
ส่วนเชิงกฏก็คือ มีนิวเคลียร์เต็มฐานทัพ แต่ยิงไม่ได้เพราะถ้ายิงไปแล้วมันจะกลายเป็นจุดที่ถอยกลับไม่ได้

มีอดีตทหารเมกามั้ง คนนึงในช่องยูทูป บอก อาวุธไฮเปอร์โซนิค ที่รัสเซียพัฒนามันร้ายกาจก็จริง แต่มันแพงเลยเหมาะกับเอาติดหัวรบนิวเคลียร์มากกว่า
เมกาเลยไม่สนใจพัฒนาเท่าไหร่ เพราะไม่กะยิงนิวเคลียร์เท่าไหร่ เอางบไปพัฒนาอาวุธอื่นดีกว่า ยังไงอาวุธยิงต่อต้าน ก็ไวกว่าขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค

[nosta]

[quote/]
ก็ยังไม่แน่ครับมันมีเชิงปริมาณ คุณภาพ และกฏ
คือมีมือ sniper rifle ที่ยิงเข้าเป้า 100% 1 คน กับ เอาคนถือปืนพก 100+ คน วิ่งผ่านป่าไปรบกัน 100 คนมันก็ชนะได้


แต่ถ้า 1 คนคือเครื่องบินทิ้งระเบิด กับ 1000 คนถือปืนพก เครื่องบินก็ชนะขาด
แต่ถ้ามีงบอาวุธเท่ากัน ถ้าไม่ใช้นิวเคลียร์ เครื่องบินทิ้งนะเบิดจนหมด ก็อาจจะไม่ชนะ เพราะเป้ามันเยอะเหลือเกิน
ส่วนเชิงกฏก็คือ มีนิวเคลียร์เต็มฐานทัพ แต่ยิงไม่ได้เพราะถ้ายิงไปแล้วมันจะกลายเป็นจุดที่ถอยกลับไม่ได้

มีอดีตทหารเมกามั้ง คนนึงในช่องยูทูป บอก อาวุธไฮเปอร์โซนิค ที่รัสเซียพัฒนามันร้ายกาจก็จริง แต่มันแพงเลยเหมาะกับเอาติดหัวรบนิวเคลียร์มากกว่า
เมกาเลยไม่สนใจพัฒนาเท่าไหร่ เพราะไม่กะยิงนิวเคลียร์เท่าไหร่ เอางบไปพัฒนาอาวุธอื่นดีกว่า ยังไงอาวุธยิงต่อต้าน ก็ไวกว่าขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค

เชื่อว่าอเมริกาก็ต้องแอบพัฒนาอยู่แหละครับเรื่องสำคัญ ถึงไม่ยิงก็ต้องมีไว้บลัฟมีไว้เจรจา

[sariora123]

วิ่งเข้าไปแบบนั้น เอาเข้าจริงๆ คือ เจอเคลย์มอร์ 1 ลูก นี่ เรียบเลยนะ
(ว่าถึง สไนเปอร์แล้ว ยุคนี้เห็นออกมาว่าไม่ได้มีแค่ 2 คนแบบในหนังล่ะที่เราดูๆ กัน
1ชุดจะมี 4 คนซึ่งซุ่มยิงได้เหมือนกันหมด เพื่อทดแทนกันได้ แต่ว่าความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จะมีคนล่ะอย่างแทน เพราะ2คนแบบเมื่อก่อนมันไม่พอ  )

ทุกวันนี้ผมมองว่า อเมริกา เข้าใจความสามารถตัวเองว่าส่งคนไปตายเยอะๆ ไม่ได้


ี่พี่แกเลยถมจำนวนคนด้วยเทคโน ที่เวอร์วังแทน


ก็แบบที่ท่านลูกสมุยว่าไว้   อเมริกาถ้ามันคิดจะเอาจริง แค่ให้จรวดต่อต้านเรือกับยูเครนไปเยอะพอ  นี่กวาดกองเรือทะเลดำลงก้นทะเลทั้งหมดยังได้ แต่พี่แกไม่ทำอ่ะสิ
มองยังไง ก็กะให้สงครามมันยืดๆ ไปเรื่อยๆ


ถ้าผมจำไม่ผิด  สงครามเวียดนาม อเมริกาเสียทหารไปราวๆ 50000 นาย
ส่วนเวียดนามรวมทั้งเหนือใต้ มีคนตายไปราวๆ 2,000,000 คน ถ้าหารครึ่งก็ 1 ล้าน
อัตราสังหารของอเมริกาก็ถือว่ายังสูง อยู่ที่ 1-20 เลยนะ นี่ขนาดยุคนั้นเทคโนถือว่าไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน งั้นปัจจุบันถ้าหากอเมริกาคิดจะเล่นจริงๆ  รัสเซียยับเยินกว่านี้อีก 2-3เท่า

    ส่วนไฮเปอร์โซนิคทั้งหลายผมบอกแล้วนานล่ะว่า  ไอ้พื้นฐานมันก็มาจากเครื่องยนต์ แรมเจ็ท   สแคลมเจ็ท ซึ่งผมจำได้คุ้นๆ ว่าอเมริกาเคยทดลองภาคสนามสำเร็จไปแล้ว ราวๆ 10 กว่าปีก่อน  แล้วก็เงียบไม่ออกข่าวอีกเลย    คิดว่าทุกวันนี้มีไหม   ผมว่ามี แต่ซุกไว้
   เพราะล่าสุดนี่ก็เอา" อดีต"เครื่องบินโครงการลับ  ไปบินเล่นแถวๆ ทะเลจีนใด้ ไอ้เครื่องที่ว่าเมื่อก่อนล่ะปฏิเสธว่าไม่มี๊ ไม่มี   

[pol]

วิ่งเข้าไปแบบนั้น เอาเข้าจริงๆ คือ เจอเคลย์มอร์ 1 ลูก นี่ เรียบเลยนะ
(ว่าถึง สไนเปอร์แล้ว ยุคนี้เห็นออกมาว่าไม่ได้มีแค่ 2 คนแบบในหนังล่ะที่เราดูๆ กัน
1ชุดจะมี 4 คนซึ่งซุ่มยิงได้เหมือนกันหมด เพื่อทดแทนกันได้ แต่ว่าความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จะมีคนล่ะอย่างแทน เพราะ2คนแบบเมื่อก่อนมันไม่พอ  )

ทุกวันนี้ผมมองว่า อเมริกา เข้าใจความสามารถตัวเองว่าส่งคนไปตายเยอะๆ ไม่ได้


ี่พี่แกเลยถมจำนวนคนด้วยเทคโน ที่เวอร์วังแทน


ก็แบบที่ท่านลูกสมุยว่าไว้   อเมริกาถ้ามันคิดจะเอาจริง แค่ให้จรวดต่อต้านเรือกับยูเครนไปเยอะพอ  นี่กวาดกองเรือทะเลดำลงก้นทะเลทั้งหมดยังได้ แต่พี่แกไม่ทำอ่ะสิ
มองยังไง ก็กะให้สงครามมันยืดๆ ไปเรื่อยๆ


ถ้าผมจำไม่ผิด  สงครามเวียดนาม อเมริกาเสียทหารไปราวๆ 50000 นาย
ส่วนเวียดนามรวมทั้งเหนือใต้ มีคนตายไปราวๆ 2,000,000 คน ถ้าหารครึ่งก็ 1 ล้าน
อัตราสังหารของอเมริกาก็ถือว่ายังสูง อยู่ที่ 1-20 เลยนะ นี่ขนาดยุคนั้นเทคโนถือว่าไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน งั้นปัจจุบันถ้าหากอเมริกาคิดจะเล่นจริงๆ  รัสเซียยับเยินกว่านี้อีก 2-3เท่า

    ส่วนไฮเปอร์โซนิคทั้งหลายผมบอกแล้วนานล่ะว่า  ไอ้พื้นฐานมันก็มาจากเครื่องยนต์ แรมเจ็ท   สแคลมเจ็ท ซึ่งผมจำได้คุ้นๆ ว่าอเมริกาเคยทดลองภาคสนามสำเร็จไปแล้ว ราวๆ 10 กว่าปีก่อน  แล้วก็เงียบไม่ออกข่าวอีกเลย    คิดว่าทุกวันนี้มีไหม   ผมว่ามี แต่ซุกไว้
   เพราะล่าสุดนี่ก็เอา" อดีต"เครื่องบินโครงการลับ  ไปบินเล่นแถวๆ ทะเลจีนใด้ ไอ้เครื่องที่ว่าเมื่อก่อนล่ะปฏิเสธว่าไม่มี๊ ไม่มี   

สไนเปอร์ 1 สปอตเตอร์(พลชี้เป้า)1 คุ้มกัน 2 คน มั๊งครับ  แต่ก็น่าจะทำงานเป็นพลซุ่มยิงได้ทุกคนนั่นแหละ

[sariora123]

คือเพจทหาร เคยมีอธิบายไว้ ประมาณว่า 2 คนมันไม่พอน่าจะเป็นผลมาจากตอนอีรัก ล่ะมั้งเลยเพิ่มเป็น 4 ชุ่มยิงได้เหมือนกันทุกคน แต่จะมีเชี่ยวชาญเฉพาะ อย่างล่ะคนเช่นยิงระยะไกลจัดๆ 1 
ยิงตอนกลางคืน
หรือยิงในภาวะอากาศแย่ๆ 1 ประมาณนี้ 

[pol]

ทางทหารอเมริกาเป็นประเทศที่เชื่อถือไม่ได้ครับเพราะจะอวยประเทศศัตรูซะโคตรเก่ง  เพื่อจะได้ของบประมาณมาเยอะๆ    อิรักโคตรเก่งแล้วพี่แกก็ตบคว่ำ  มาตอนนี้อวยรัสเซียกับจีนก็เพื่อเอางบประมาณเหมือนเดิมนั่นแหละโยม 

[trash]

คือเพจทหาร เคยมีอธิบายไว้ ประมาณว่า 2 คนมันไม่พอน่าจะเป็นผลมาจากตอนอีรัก ล่ะมั้งเลยเพิ่มเป็น 4 ชุ่มยิงได้เหมือนกันทุกคน แต่จะมีเชี่ยวชาญเฉพาะ อย่างล่ะคนเช่นยิงระยะไกลจัดๆ 1 
ยิงตอนกลางคืน
หรือยิงในภาวะอากาศแย่ๆ 1 ประมาณนี้ 

เปลืองทรัพยากรบุคคลนะหน่ะ  งานเฉพาะกิจใช้คนเฉพาะกิจจะไม่เปลือง  มันดีกว่ารวมคนเฉพาะกิจเพื่อ
งานๆเดียวโดยอ้างว่าไว้เผื่อทุกสภานการณ์  ก่อนทำงานประเภทนี้  แค่ตรวจดูว่า  ใครเหมาะก็พอ  ไม่งั้น
ประสิทธิภาพแทนที่จะเพิ่มขึ้นมันจะกลายเป็นลดลง 


EDIT :

สมมุติว่า  ต้องจัดทีม 4 คน  ยังไงๆผมก็ให้สไนป์1อยู่ดี คนชี้เป้า1(ซึ่งอาจต้องเป็นสไนป์สำรองในยามที่
มีอะไรเกิดขึ้น  แต่นั่นก็หมายถึงภารกิจล้มเหลว  ต้องถอย)  อีกนึ่งคอยคุ้มครองระยะกลาง  ส่วนคนที่สี่
ทำหน้าที่ประสานงานต่างๆ  ทำจิปาถะ


มันดีกว่าจะนำสไนป์ในสถาการณ์ต่างๆไปกระจุกรวมกันเป็นทีม  เพราะก่อนเริ่มภารกิจ  มันย่อมตรวจเช็ค
ภารกิจอยู่แล้ว  และสไนป์แต่ละคนยังไงๆก็เก่งในด้านสไนป์  ไม่ได้สุดยอดในด้านคุ้มครองระยะกลาง
ไม่ได้เก่งในด้านประสานงาน  เก่งด้านจิปาถะ  ก็เหมือนเอานักเวทย์ดินน้ำลมไฟ  สี่คนตั้งเป็นทีม  มัน
น่าจะย่อมประสิทธิภาพน้อยกว่า  สี่คนที่มีอาชีพหลากหลาย


เดาๆอ่ะนะ   

[samuison]

[quote/]

เปลืองทรัพยากรบุคคลนะหน่ะ  งานเฉพาะกิจใช้คนเฉพาะกิจจะไม่เปลือง  มันดีกว่ารวมคนเฉพาะกิจเพื่อ
งานๆเดียวโดยอ้างว่าไว้เผื่อทุกสภานการณ์  ก่อนทำงานประเภทนี้  แค่ตรวจดูว่า  ใครเหมาะก็พอ  ไม่งั้น
ประสิทธิภาพแทนที่จะเพิ่มขึ้นมันจะกลายเป็นลดลง 


EDIT :

สมมุติว่า  ต้องจัดทีม 4 คน  ยังไงๆผมก็ให้สไนป์1อยู่ดี คนชี้เป้า1(ซึ่งอาจต้องเป็นสไนป์สำรองในยามที่
มีอะไรเกิดขึ้น  แต่นั่นก็หมายถึงภารกิจล้มเหลว  ต้องถอย)  อีกนึ่งคอยคุ้มครองระยะกลาง  ส่วนคนที่สี่
ทำหน้าที่ประสานงานต่างๆ  ทำจิปาถะ


มันดีกว่าจะนำสไนป์ในสถาการณ์ต่างๆไปกระจุกรวมกันเป็นทีม  เพราะก่อนเริ่มภารกิจ  มันย่อมตรวจเช็ค
ภารกิจอยู่แล้ว  และสไนป์แต่ละคนยังไงๆก็เก่งในด้านสไนป์  ไม่ได้สุดยอดในด้านคุ้มครองระยะกลาง
ไม่ได้เก่งในด้านประสานงาน  เก่งด้านจิปาถะ  ก็เหมือนเอานักเวทย์ดินน้ำลมไฟ  สี่คนตั้งเป็นทีม  มัน
น่าจะย่อมประสิทธิภาพน้อยกว่า  สี่คนที่มีอาชีพหลากหลาย


เดาๆอ่ะนะ   

ผมว่านี่คือปัญหาของประเทศยากจนน่ะครับ
"เปลือง"เปลืองบุคคล"
"เปลืองทรัพยากร"
อเมริกามันคิดว่ามันจะกลบแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยทรัพยากรน่ะครับจากที่เคยฟังสัมภาษณ์มาเป็นการสุ้แบบนิสัยเจ้าสัวในนิยายเกมส์ออนไลน์โดยแท้

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวยูเครน วันที่ 126 ของสงคราม Part 1

1. ข่าวใหญ่ที่สุดของวันนี้ หลังจากผ่านการเจรจามานานหลายสัปดาห์ ในที่สุดตุรเคียก็ยินยอมอนุมัติให้สวีเดนและฟินแลนด์สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ได้อย่างเป็นทางการ

ในวันแรกของการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต้ (2022 NATO Summit) ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน ปธน.เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน (Recep Tayyip Erdoğan) ของตุรเคีย ปธน.เซาลี นีนิสเตอ (Sauli Niinistö) ของฟินแลนด์ และนายกรัฐมนตรีมักดาเลียนา อันเดอช็อน (Magdalena Andersson) ของสวีเดน ได้ทำการลงนามในบันทึกข้อตกลงไตรภาคี (Trilateral MoU) โดยมีนายเยนส์ สต็อลเตินบาร์ก (Jens Stoltenberg) เลขาธิการองค์การนาโต้เป็นพยาน รับรองว่าตุรเคียจะสนับสนุนให้สวีเดนและฟินแลนด์สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ได้ โดยที่ทั้งสองประเทศจะให้การสนับสนุนด้านภารกิจต่อต้านการก่อการร้ายของตุรเคีย และยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกอาวุธให้ตุรเคีย

สำหรับเนื้อหาภายในบันทึกข้อตกลงไตรภาคีนั้น มีใจความคร่าวๆ ประมาณนี้
1.1 ทั้งสามยอมรับในหลักการขององค์การนาโต้ (ความเป็นเอกภาพ การป้องกันตนเอง การต่อต้านการก่อการร้าย ฯลฯ)
1.2 สวีเดนและฟินแลนด์ยอมรับให้พรรคแรงงานชาวเคิร์ดหรือ PKK ขบวนการเรียกร้องเอกราชชาวเคิร์ดในตุรเคีย มีสถานะเป็นผู้ก่อการร้าย
1.3 สวีเดนและฟินแลนด์ยกเลิกการสนับสนุนให้แก่พรรคสหภาพประชาธิปไตยหรือ PYD (พรรคการเมืองตัวแทนชาวเคิร์ดในซีเรีย สาขาย่อยของ PKK), กองกำลังพิทักษ์ประชาชนหรือ YPG (กองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรีย) และองค์การก่อการร้ายเฟตุลลาห์หรือ FETO (ขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาในตุรเคีย)
1.4 สวีเดนและฟินแลนด์ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกอาวุธให้ตุรเคีย
1.5 ก่อตั้งโครงข่ายความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสามประเทศ เพื่อภารกิจต่อต้านการก่อการร้าย
1.6 สวีเดนและฟินแลนด์จะพิจารณาข้อเรียกร้องของตุรเคียในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน สืบสวนการทำกิจกรรมของ PKK ในดินแดนของตน และพยายามหยุดยั้งการแพร่กระจายของข่าวปลอมที่เป็นภัยต่อตุรเคีย

แม้เนื้อหาจะฟังดูเหมือนว่าทั้งสวีเดนและฟินแลนด์ยินยอมให้ตุรเคียค่อนข้างมาก แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะนอกจากข้อ 2 กับ 4 ที่มีภาษารัดกุมและเป็นข้อตกลงส่วนสำคัญจริงๆ ในข้อ 3 และ 6 กลับใช้ภาษาที่กำกวม คือ สนับสนุน พิจารณา สืบสวน และ พยายาม ซึ่งเปิดช่องให้สวีเดนและฟินแลนด์สามารถตีความคำดังกล่าวได้อย่างกว้างขวาง ฉะนั้นเราอาจมองได้ว่า MoU ในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อสร้างผลงานให้แก่ ปธน.แอร์โดอัน ให้สามารถนำไปใช้ประชาสัมพันธ์ผลงานของตนในประเทศ เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนเป็นหลัก เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจของตุรเคียที่ดำเนินมาหลายปีติดต่อกันทำให้คะแนนนิยมของ ปธน.แอร์โดอันกำลังดิ่งวูบ และมีแนวโน้มว่าเขาอาจแพ้การเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นภายในเดือนมิถุนายนปีหน้า

ไม่ว่าอย่างไร ผลสุดท้ายที่ MoU แสดงให้เห็น คือสวีเดนและฟินแลนด์ในตอนนี้ไม่มีขวากหนามใดๆ มาขวางกั้นไม่ให้ทั้งสองสมัครเป็นสมาชิกนาโต้ได้แล้ว คาดว่าในช่วงวันที่สองและวันที่สามของการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต้ครั้งนี้ (งานประชุมจัดระหว่างวันที่ 28-30 มิ.ย.) จะมีการลงมติอย่างเป็นทางการภายในสมาชิกนาโต้ว่าจะรับให้สวีเดนและฟินแลนด์เป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการหรือไม่



2. ในด้านความช่วยเหลือจากนานาชาติต่อยูเครน สหภาพยุโรปได้ทำการบริจาครถบรรทุกวิบากจำนวนกว่า 90 คันให้ยูเครน ผ่านทางกองอำนวยการสันติภาพยุโรป (European Peace Facility) การบริจาคครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “มาตรการสนับสนุน” (Assistance Measure) มูลค่า 31 ล้านยูโรของสหภาพยุโรป โดย “มาตรการสนับสนุน” เป็นโครงการความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์การช่างและวิศวกรรม อุปกรณ์การขนส่ง และอุปกรณ์เสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ให้แก่ยูเครน โครงการนี้ถูกประกาศขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ปีที่แล้ว

ด้านความช่วยเหลือทางทหาร นายเซบาสเตียน เลอร์ซอร์นู (Sébastien Lecornu) รมว.กลาโหมฝรั่งเศส ได้ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าว Le Parisien กล่าวว่าฝรั่งเศสจะให้การสนับสนุนด้านอาวุธหนักเพิ่มเติมให้ยูเครน โดยนอกจากปืนใหญ่อัตตาจร CAESAR จำนวน 6 คันที่ ปธน.มาครงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ นายเลอร์ซอร์นูกล่าวว่ายังมีอาวุธเพิ่มเติมอื่นๆ อีก คือยานเกราะลำเลียงพลแบบ VAB จำนวนมาก และรัฐบาลฝรั่งเศสกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะทำการส่งมิสไซล์ต่อต้านเรือผิวน้ำแบบ Exocet ให้แก่ยูเครนดีหรือไม่

นอกจากฝรั่งเศสแล้ว เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ยังได้แถลงต่อนักข่าวนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต้ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ว่าทั้งสองประเทศตกลงจะทำการส่งมอบปืนใหญ่อัตตาจร PzH 2000 เพิ่มเติมให้แก่ยูเครนอีก 6 คัน (ประเทศละ 3 คัน) หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ทำการส่งมอบปืนใหญ่อัตตาจร PzH 2000 ให้แก่ยูเครนไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนแล้วจำนวน 12 คัน (ประเทศละ 6 คัน)

อีกประเทศหนึ่งที่เสนอส่งมอบอาวุธหนักให้ยูเครนคือสเปน เจ้าภาพจัดการประชุมนาโต้ในครั้งนี้ สำนักข่าว Business Insider รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ของเยอรมนีและยูเครน ว่าสเปนได้ส่งข้อเสนอในการมอบรถถัง Leopard 2 ไม่ระบุรุ่นจำนวน 10 คันให้ยูเครน โดยในช่วงต้นเดือนหน้า สเปนจะให้ยูเครนส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบสภาพรถถัง Leopard 2 ว่าเหมาะสมต่อความต้องการของยูเครนหรือไม่ เนื่องจากรถถังที่สเปนจะมอบให้นั้นเป็นรถถังรุ่นเก่าและยูเครนจำต้องออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถถังด้วยตนเอง (จุดนี้ทำให้คาดว่าน่าจะเป็นรถถังเก่ารุ่น Leopard 2A4 ซึ่งสเปนมีในประจำการทั้งหมด 54 คัน และในคลังสำรองอีก 54 คัน) ทั้งนี้ หากว่ายูเครนต้องการจริงๆ สเปนจำต้องทำเรื่องขอใบอนุญาตการส่งออกจากเยอรมนีเสียก่อน เนื่องจากกฎหมายของเยอรมนีไม่อนุญาตให้ผู้ซื้ออาวุธของตนทำการส่งออกอาวุธให้ประเทศมือที่สามโดยไม่ผ่านการพิจารณาของเยอรมนีก่อน

สำหรับผลการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต้วันแรก นายเยนส์ สต็อลเตินบาร์ก เลขาธิการองค์การนาโต้ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับนายเปโดร ซันเชซ (Pedro Sánchez) นายกรัฐมนตรีของสเปนเมื่อวานนี้ กล่าวว่าชาติพันธมิตรนาโต้ได้เห็นชอบในการจัดทำ “ชุดสนับสนุนเบ็ดเสร็จ” (Comprehensive Assistance Package) เพื่อสนับสนุนกองทัพยูเครนในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์แผ่นดินจากการรุกรานของรัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดว่า “ชุดสนับสนุนเบ็ดเสร็จ” จะเป็นความช่วยเหลือแบบใด และประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

[daily]

[quote/]
ผมว่านี่คือปัญหาของประเทศยากจนน่ะครับ
"เปลือง"เปลืองบุคคล"
"เปลืองทรัพยากร"
อเมริกามันคิดว่ามันจะกลบแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยทรัพยากรน่ะครับจากที่เคยฟังสัมภาษณ์มาเป็นการสุ้แบบนิสัยเจ้าสัวในนิยายเกมส์ออนไลน์โดยแท้

แต่ประสิทธิภาพมันจะลดลงหรือเปล่า??  ถ้าเราเอาสไนป์หลากหลายมารวมกลุ่มกัน  แทนที่จะนำคนที่
เก่งในด้านอื่นให้รวมกลุ่มกับสไนป์  เพราะมันไม่ใช่ว่าสไนป์จะเก่งรอบด้าน  สามารถทำงานด้านอื่นจน
มีประสิทธิภาพสูงกว่าผู้มีทักษะเฉพาะด้านในด้านนั้นๆ  แล้วการที่ให้สไนป์เฉพาะด้านในโฟกัสในหน้าที่
ที่ไม่ใช่ด้านถนัด  แล้วพอถึงห้วงสภาพอากาศเหมาะสม  ก็ให้ไปทำหน้าที่สไนป์หลัก  มันทำให้สไนป์
คนนั้นไม่สามารถโฟกัสได้สูงสุด


มันคล้ายๆ  เอาศูนย์หน้าฟุตบอลทุกคนไปเล่นฟุตซอลเป็นทีม  แล้วให้ผลัดเปลี่ยนไปเป็นแนวรุก
โดยคนที่เหลืออีก3คนทำหน้าที่อื่น  แล้วพอถึงเวลาก็ผลัดเปลี่ยนกันตามภูมิอากาศสถานการณ์  ซึ่งนั่น
คนที่ฉุกระหุกให้มาทำ  ในหัวเขามันยังปรับโฟกัสไม่สมบูรณ์  แม้จะก่อนเริ่มรวมทีม  ก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว
แต่การที่  ให้เขาไปทำหน้าที่สำรองอื่น  มันทำให้เขาหลุดสมาธิ  เพราะงั้น  วิธีรวมยอดสไนป์ให้ร่วมทีม
มันจึงอาจทำได้ดีน้อยกว่า  รวมยอดทีมที่มีสไนป์เพียงคนเดียว  เพราะสมาธิจะไม่หลุด  เพราะยังไงๆ
ก่อนเริ่มภารกิจ  มันต้องฟังรายงานฟังภูมิอากาศ  ทำการบ้าน  ทำการคัดเลือกสไนป์ที่เหมาะกับงาน


เดาๆเอา  บางทีอาจจะเวิร์คหล่ะมั้ง  แต่ถ้าเป็นผม  ผมก็ไม่ให้รวมสไนป์แบบนั้นหรอก  ทีมที่ดี
คือทีมที่รวมหลายทักษะ  เพื่ออุดจุดอ่อนทุกๆด้าน  ไม่ใช่เอาคนเก่งด้านเดียวไปรวมกัน  แม้่จะ
มีบุคลากรเหลือเฟือ  เพราะมันไม่น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพ  ซ้ำยังลดประสิทธิภาพภารกิจลง

[samuison]

[quote/]


แต่ประสิทธิภาพมันจะลดลงหรือเปล่า??  ถ้าเราเอาสไนป์หลากหลายมารวมกลุ่มกัน  แทนที่จะนำคนที่
เก่งในด้านอื่นให้รวมกลุ่มกับสไนป์  เพราะมันไม่ใช่ว่าสไนป์จะเก่งรอบด้าน  สามารถทำงานด้านอื่นจน
มีประสิทธิภาพสูงกว่าผู้มีทักษะเฉพาะด้านในด้านนั้นๆ  แล้วการที่ให้สไนป์เฉพาะด้านในโฟกัสในหน้าที่
ที่ไม่ใช่ด้านถนัด  แล้วพอถึงห้วงสภาพอากาศเหมาะสม  ก็ให้ไปทำหน้าที่สไนป์หลัก  มันทำให้สไนป์
คนนั้นไม่สามารถโฟกัสได้สูงสุด


มันคล้ายๆ  เอาศูนย์หน้าฟุตบอลทุกคนไปเล่นฟุตซอลเป็นทีม  แล้วให้ผลัดเปลี่ยนไปเป็นแนวรุก
โดยคนที่เหลืออีก3คนทำหน้าที่อื่น  แล้วพอถึงเวลาก็ผลัดเปลี่ยนกันตามภูมิอากาศสถานการณ์  ซึ่งนั่น
คนที่ฉุกระหุกให้มาทำ  ในหัวเขามันยังปรับโฟกัสไม่สมบูรณ์  แม้จะก่อนเริ่มรวมทีม  ก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว
แต่การที่  ให้เขาไปทำหน้าที่สำรองอื่น  มันทำให้เขาหลุดสมาธิ  เพราะงั้น  วิธีรวมยอดสไนป์ให้ร่วมทีม
มันจึงอาจทำได้ดีน้อยกว่า  รวมยอดทีมที่มีสไนป์เพียงคนเดียว  เพราะสมาธิจะไม่หลุด  เพราะยังไงๆ
ก่อนเริ่มภารกิจ  มันต้องฟังรายงานฟังภูมิอากาศ  ทำการบ้าน  ทำการคัดเลือกสไนป์ที่เหมาะกับงาน


เดาๆเอา  บางทีอาจจะเวิร์คหล่ะมั้ง  แต่ถ้าเป็นผม  ผมก็ไม่ให้รวมสไนป์แบบนั้นหรอก  ทีมที่ดี
คือทีมที่รวมหลายทักษะ  เพื่ออุดจุดอ่อนทุกๆด้าน  ไม่ใช่เอาคนเก่งด้านเดียวไปรวมกัน  แม้่จะ
มีบุคลากรเหลือเฟือ  เพราะมันไม่น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพ  ซ้ำยังลดประสิทธิภาพภารกิจลง

ถ้าให้ผมวิเคราะห์(เดา)ล่ะก็อเมรกิาไม่ได้ต้องการผลลัพะ์ที่ดีที่สุด แค่ต้องการป้องกันผลลัพะ์ที่เลวร้ายที่สุดน่ะครับ
อาจจะติดนิสัยผู้นำโลกมาว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น รักษาสภาพเดิมไว้ได้ถือว่าชนะแล้ว
ผมไปเจอคนพูดมาน่าสนใจว่า
แนวทางของอเมริกาในการก่อความววุ่นวายนี่น่ะ มันคือแนวคิดของมหาอำนาจ
มหาอำนาจอยู่แล้วถึงคิดอย่างนี้ในการที่จะก่อกวนประเทศเพื่อนบ้านให้รักษาสถานะของตนเองอยู่ได้หากเราไม่ใช่มหาอำนาจ ควรจะดูคิวบาเป็นตัวอย่างมากกว่า
คิดคล้ายๆท่านเลยล่ะครับ ฮา
ผมถึงได้แซวหลายครั้งว่ายุทธศาสตร์ต่างๆน่ะ อ่านมาจากตำราเดียวกันมันไม่ต่างกันไปเท่าไรหรอก

[namaste]

^
^
^

แบบหมู่เกาะโซโลมอนเหรอ??  ที่ตอนนี้ทั้งออสฯทั้งสหรัฐฯ  กล่าวหาจีนว่า  ทำให้เกิดความตึงเครียด
ทั้งๆที่  นั่นมันก็คืออธิปไตยที่โซโลมอนพึงมี  ไม่นานนี้  โฆษกจีนแทบจะคัดลอกบทความที่สหรัฐฯ
บอกว่า  ยูเครนมีอธิปไตยสมบูรณ์ในการเลือก  จีนตอกหน้าหงาย  ด้วยบทความเดียวกัน  บอกว่า
โซโลมอนมีอธิปไตยสมบูรณ์เช่นกัน  ออสฯสหรัฐก็ไม่น่าขี้เหนียวเลย  มันทำให้จีนเข้ามาสอดแทรกได้



นี่ก็กัมภูชาอีก  จีนแทบจะมีฐานทัพเรือโดยพฤตินัยในดินแดนกัมภูชาแล้วนะหน่ะ  ฮุนเซนเลียเก่ง

[pol]

กติกรูครับท่าน    ถ้าผมเป็นอเมริกาผมก็ทำแบบนั้นแหละเรื่องอะไรจะปล่อยให้มีอภิมหาอำนาจมาแข่งกับเรา  ตรูทำได้แต่เอ็งห้ามทำครับ

[sariora123]

[quote/]

เปลืองทรัพยากรบุคคลนะหน่ะ  งานเฉพาะกิจใช้คนเฉพาะกิจจะไม่เปลือง  มันดีกว่ารวมคนเฉพาะกิจเพื่อ
งานๆเดียวโดยอ้างว่าไว้เผื่อทุกสภานการณ์  ก่อนทำงานประเภทนี้  แค่ตรวจดูว่า  ใครเหมาะก็พอ  ไม่งั้น
ประสิทธิภาพแทนที่จะเพิ่มขึ้นมันจะกลายเป็นลดลง 


EDIT :

สมมุติว่า  ต้องจัดทีม 4 คน  ยังไงๆผมก็ให้สไนป์1อยู่ดี คนชี้เป้า1(ซึ่งอาจต้องเป็นสไนป์สำรองในยามที่
มีอะไรเกิดขึ้น  แต่นั่นก็หมายถึงภารกิจล้มเหลว  ต้องถอย)  อีกนึ่งคอยคุ้มครองระยะกลาง  ส่วนคนที่สี่
ทำหน้าที่ประสานงานต่างๆ  ทำจิปาถะ


มันดีกว่าจะนำสไนป์ในสถาการณ์ต่างๆไปกระจุกรวมกันเป็นทีม  เพราะก่อนเริ่มภารกิจ  มันย่อมตรวจเช็ค
ภารกิจอยู่แล้ว  และสไนป์แต่ละคนยังไงๆก็เก่งในด้านสไนป์  ไม่ได้สุดยอดในด้านคุ้มครองระยะกลาง
ไม่ได้เก่งในด้านประสานงาน  เก่งด้านจิปาถะ  ก็เหมือนเอานักเวทย์ดินน้ำลมไฟ  สี่คนตั้งเป็นทีม  มัน
น่าจะย่อมประสิทธิภาพน้อยกว่า  สี่คนที่มีอาชีพหลากหลาย


เดาๆอ่ะนะ   

สมัยก่อนเคย ฟังมา
 ไม่รู้เดียวนี้เป็นไง เขาอธิบายว่า
2 คน ไม่พอ เหมือนงานจะล้นมือ เกิน หรือ แบบว่ามีปัญหาบาดเจ็บตนนึง
ภารกิจล่มแน่ๆ
เลยเพิ่มเป็น4โดยมำหน้าที่แทนกันได้หมด แต่จะมีเชียวชาญเฉพาะ
อย่างล่ะคน

[pol]

จากการทำคะแนนกันสนุกสนานของเซนต์จาเวลิน ท่านคิดว่ารถถังในยุคต่อไปจะเป็นรถถังหนักอยู่ไหมรึว่าจะเป็นยุคของรถถังเบาแทน?  เน้นวิ่งเร็วกับอำนาจการยิงแต่เกราะบางลงเพราะเจอจาเวลินเข้าไปก็ป้อมบินอยู่ดี

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวยูเครน วันที่ 126 ของสงคราม Part 2

3. สำหรับสถานการณ์ในบัลแกเรีย หลังจากที่นายกรัฐมนตรีคิริล เพ็ตคอฟ (Kiril Petkov) ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันจากพรรค PP และเป็นนักการเมืองสายกลางเอียงตะวันตก ได้รับการลงมติไม่ไว้วางใจจากรัฐสภา ทำให้เมื่อวานนี้ คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ 

สำหรับขั้นตอนต่อไปก่อนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีรูเมน ราเดฟ (Rumen Radev) จะเปิดการประชุมร่วมกับ 2 พรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกรัฐสภามากที่สุด คือพรรคเรารักษ์ปฏิรูป จำนวน 67 ที่นั่ง (PP Party - ฝ่ายกลางเอียงยุโรปและชาติตะวันตก) นำโดยนายเพ็ตคอฟ และพรรคพลเมืองพัฒนายุโรปแห่งบัลแกเรีย จำนวน 59 ที่นั่ง (GERB Party - พรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม-ประชานิยม) นำโดยนายบอยโก้ บอริซอฟ (Boyko Borisov) อดีตนายกรัฐมนตรีบัลแกเรียช่วงปี 2017-2021 เพื่อให้ทั้งสองได้แข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างมากของตนเอง หากพรรคใดสามารถจัดตั้งแนวร่วมเสียงข้างมากได้ก่อน ก็จะได้เป็นรัฐบาล หากว่าไม่ประสบความสำเร็จ ปธน.ราเดฟจะมอบหมายหน้าที่การจัดตั้งรัฐบาลผสมให้กับพรรคอื่นๆ ต่อไป และหากว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

อย่างไรก็ดี ก่อนจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายเพ็ตคอฟได้อนุมัติคำสั่งให้ดำเนินการขับไล่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูตของรัสเซียกว่า 70 คน ออกนอกประเทศบัลแกเรียภายในวันที่ 3 ก.ค. หรือภายในวันอาทิตย์นี้ โดยกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 70 รายนั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจการจารกรรมข้อมูลลับของรัฐบาลบัลแกเรีย นอกจากนี้ยังได้สั่งปิดสถานกงสุลรัสเซียในเมืองรูเซ (Ruse) ของบัลแกเรีย และสั่งปิดสถานกงสุลบัลแกเรียในเมืองเยคาเตรินบุร์ก (Yekaterinburg) ประเทศรัสเซีย

ทั้งนี้ การขับไล่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูตของประเทศที่มีความขัดแย้งกันถือเป็นเรื่องปกติ เช่นในช่วงแรกของสงครามยูเครน ประเทศในกลุ่มชาติตะวันตกก็ได้ประกาศขับไล่เจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซียออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน ทำให้การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ มากกว่าจะมีผลจริงในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ดี การขับไล่เจ้าหน้าที่การทูตรัสเซียครั้งนี้ของบัลแกเรียก็ยังนับได้ว่าเป็นการขับไล่เจ้าหน้าที่การทูตครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนขึ้น


4. ศาลสูงสุดยูเครนได้ประกาศผลการตัดสินเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดยูเครนสามารถทำการยึดทรัพย์สินของบริษัท 9 บริษัทจากรัสเซีย รวมมูลค่าทั้งหมด 4,500 ล้านฮริฟเนีย (150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สำหรับทรัพย์สินของบริษัท 9 บริษัทที่ถูกยึดทรัพย์นั้นล้วนเป็นบริษัทลูกของธุรกิจยักษ์ใหญ่จากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็น
4.1 เครือบริษัทรอสเทค (State Corporation Rostec) (เครือบริษัทรัฐวิสาหกิจด้านอุตสาหกรรมอาวุธ)
4.2 บริษัททัตเนฟต์ (PJSC Tatneft) (บริษัทมหาชนด้านกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ)
4.3 บริษัทรูซัล (United Company RUSAL, IPJSC) (บริษัทมหาชนด้านกิจการอลูมิเนียม)
4.4 เครือบริษัทจีเอ็มเอส (GMS Group AO) (เครือบริษัทสารพัดครอบคลุมทั้งไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ)

นอกจากทรัพย์สินของบริษัทที่กล่าวมาแล้ว การยึดทรัพย์ในครั้งนี้ยังรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในยูเครนซึ่งถูกถือครองโดยรัสเซียอีก 70 แห่งทั่วประเทศ โดยหลักคือที่ดินและอาคารคอมเพล็กซ์ต่างๆ


5. ด้านรัสเซียยังคงพยายามเดินสายหาพันธมิตรอยู่เรื่อยๆ ล่าสุด ปธน.ปูตินได้กล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนทาจิกิสถานเมื่อวานนี้ ว่ารัสเซียกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลในอัฟกานิสถาน

เมื่อวานนี้ ปธน.ปูตินได้เดินทางเยือนกรุงดูชานเบ (Dushanbe) ของทาจิกิสถาน เพื่อเข้าพบกับนายเอมอมาลี ราห์มอน (Emomali Rahmon) ประธานาธิบดีทาจิกิสถานซึ่งครองอำนาจมายาวนานกว่า 28 ปี นับเป็นครั้งแรกที่ ปธน.ปูตินเดินทางออกนอกประเทศ นับตั้งแต่สงครามในยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อ 4 เดือนก่อน สำหรับการเดินทางเยือนทาจิกิสถานในครั้งนี้ โดยหลักคือเพื่อกระชับสัมพันธ์กับพันธมิตรและการพยายามรักษาอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาค หลังจากที่คาซัคสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด เจริญที่สุด และพัฒนามากที่สุดในภูมิภาค เริ่มแสดงท่าทีถอยห่างจากรัสเซีย

นอกจากเรื่องการกระชับความสัมพันธ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือในระหว่างการแถลงข่าว ปธน.ปูตินได้กล่าวว่ารัสเซียกำลังพยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับ “กลุ่มการเมืองที่สามารถควบคุมสถานการณ์(ความไม่มั่นคงในอัฟกานิสถาน)ได้” แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวนั้นหมายถึงกลุ่มตาลีบัน (Taliban) ที่ขึ้นมากุมอำนาจในอัฟกานิสถานได้สำเร็จ หลังจากกองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐได้ทำการถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่คำพูดที่กำกวมดังกล่าว ยังเปิดช่องให้รัสเซียสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นที่สามารถล้มตาลีบันได้ในอนาคตและขึ้นมาปกครองอัฟกานิสถานแทน เช่นกลุ่มรัฐอิสลามจังหวัดโคราซานหรือ IS-K (Islamic State - Khorasan Province) หรือแนวหน้ากองกำลังต่อต้านแห่งชาติอัฟกานิสถานหรือ NRF (National Resistance Front of Afghanistan)

ไม่ว่าสถานการณ์ในอัฟกานิสถานจะเป็นอย่างไร คำพูดของปูตินก็สื่อให้เห็นว่ารัสเซียมีเป้าหมายในการหาพันธมิตรหรืออย่างน้อยที่สุดคือหุ้นส่วนทางการค้า ไม่ว่ากลุ่มดังกล่าวจะเป็นใครก็ตาม ทั้งนี้ ในงานประชุมเศรษฐกิจนานาชาติ ณ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg International Economic Forum) รัสเซีย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีผู้แทนของรัฐบาลตาลีบันเข้าร่วมงานดังกล่าว ด้วยมุ่งหวังจะเสริมสร้างความชอบธรรมของตนในเวทีโลก และสรรหาหุ้นส่วนทางการค้าของอัฟกานิสถาน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่ทั้งรัสเซียและตาลีบันจะหันมาผูกมิตรกันมากขึ้น แม้ว่าในทางกฎหมาย ตาลีบันจะยังมีสถานะเป็นผู้ก่อการร้ายตามบัญชีรายชื่อของรัฐบาลรัสเซียอยู่ก็ตาม