อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 43 ของสงคราม
1. แม้การเลือกตั้งในฮังการีจะจบไปแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยชัยชนะของนายวิกโตร์ โอร์บาน (Viktor Orbán) จากพรรคอนุรักษ์นิยม-ชาตินิยมอย่างพรรคฟิเดสซ์ (Fidesz) ทำให้เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ ต่อสี่สมัยซ้อน แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะยังไม่จบง่ายๆ จากการที่ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลือกตั้งในฮังการีครั้งนี้ขาดความโปร่งใส จนทำให้ตอนนี้ทางสหภาพยุโรปเริ่มออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวแล้ว
ในวันอังคารที่ผ่านมา นางเออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von de Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (เทียบเท่ากับฝ่ายบริหาร-คณะรัฐบาลของ EU) ออกมาเปิดเผยว่าทางคณะกรรมาธิการยุโรปกำลังดำเนินการระงับการมอบเงินสนับสนุนงบประมาณประจำปีให้แก่ฮังการี ซึ่งคิดเป็นมูลค่านับล้านล้านยูโรต่อปี เพื่อตอบโต้ต่อการเลือกตั้งซึ่งละเมิดหลักนิติธรรมในฮังการี
อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวยังต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน โดยทางคณะกรรมาธิการยุโรปจะต้องยื่นเรื่องต่อไปยังคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (เทียบได้กับฝ่ายนิติบัญญัติ-รัฐสภาของ EU) แล้วลงคะแนนเสียงแบบคะแนนเสียงข้างมากพิเศษ (Qualified Majority) นั่นคือจะต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำข้อใดข้อหนึ่ง คือ
1) มีเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 55% ของสมาชิก EU (ปัจจุบันมีสมาชิก EU 27 ประเทศ ฉะนั้น 55% จะเท่ากับว่าต้องมีอย่างน้อย 15 ประเทศที่มีมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว)
2) ประเทศที่เห็นชอบจะต้องมีจำนวนประชากรรวมกันคิดเป็น 65% ของจำนวนประชากรใน EU ทั้งหมด (ปัจจุบัน EU มีประชากร 447 ล้านคน ฉะนั้น 65% จะเท่ากับว่าฝ่ายเห็นชอบจะต้องมีประชากรรวมกันมากกว่า 290.5 ล้านคน)
เมื่อผ่านการลงมติ ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรปจึงจะได้รับการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะกินระยะเวลานานไปจนถึงปีหน้า และอาจส่งผลให้คำขอเงินกู้จำนวน 9 พันล้านยูโรของนายโอร์บานกับเงินงบประมาณช่วยเหลือวิกฤติ Covid-19 ในฮังการีจะต้องถูกระงับไว้ก่อน
ทางด้านฮังการีนั้น เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อการมาตรการของ EU ได้ออกมาประกาศว่าฮังการีจะยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัสเซีย โดยการชำระค่าแก็สธรรมชาติที่ฮังการีนำเข้าจากรัสเซียเป็นเงินรูเบิล แทนที่การใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร ซึ่งทำให้ฮังการีกลายเป็นประเทศเดียวใน EU ที่ออกมาประกาศยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าวของรัสเซีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมด (ซึ่งรวมถึงฮังการีด้วย) ออกมาประกาศปฏิเสธคำขู่ของรัสเซีย อันเป็นส่วนหนึ่งของมติร่วมกันในการคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีการรุกรานยูเครน
2. ปธน.เซเลนสกี้ได้เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องการเจรจาสันติภาพในขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อตุรกีวานนี้ ว่าตอนนี้มี 6 ประเทศที่ยืนยันพร้อมจะเป็นผู้ให้หลักประกันความมั่นคงแก่ยูเครน (Security Guarantor) ตามข้อตกลงเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย คือ สหรัฐ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส โปแลนด์ ตุรกี และอิสราเอล พร้อมกับบอกอีกว่าข้อกำหนดและรายละเอียดต่างๆ ของ Security Guarantor ยังจะต้องมีการพูดคุยกันอีกมาก เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดในเรื่องพันธะผูกพันที่ Security Guarantor มีต่อยูเครน เมื่อได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วจึงยื่นเรื่องให้ทางรัสเซียรับทราบ ก่อนลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ
3. เมื่อวานนี้ นายเมอร์ริค การ์แลนด์ (Merrick Garland) อัยการสูงสุดสหรัฐ ได้ออกมาแถลงว่ากระทรวงยุติธรรมและ FBI ได้ดำเนินการทำลายมัลแวร์ภายในโครงข่ายคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์โดย GRU หน่วยข่าวกรองลับของรัสเซีย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากทางรัฐบาลสหรัฐนั้นเป็นกังวลว่าทางการรัสเซียจะทำการตอบโต้การคว่ำบาตรของสหรัฐและชาติพันธมิตรโดยการโจมตีทางไซเบอร์ เข้าใส่โครงข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมสาธารณูปโภคที่สำคัญต่างๆ เช่น ระบบไฟฟ้า ตลาดหุ้น เครือข่ายรถไฟฟ้า ท่อส่งก๊าซ และอื่นๆ จึงเป็นเหตุให้ทางการสหรัฐตัดสินใจชิงลงมือก่อน โดยการตัดการเชื่อมต่อระหว่างมัลแวร์ซึ่งแฝงตัวในโครงข่ายคอมพิวเตอร์ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก กับระบบควบคุมของ GRU หน่วยข่าวกรองลับของรัสเซีย ซึ่งทำให้รัสเซียไม่สามารถใช้งานมัลแวร์ดังกล่าวได้
การดำเนินงานทั้งหมดนี้ถูกปิดเป็นความลับเพื่อป้องกันมิให้ทางการรัสเซียและ GRU รู้ตัว โดยหลังจากได้รับคำสั่งศาล ทาง FBI และหน่วยข่าวกรองอื่นๆ ก็ได้ลงมือโดยการเจาะระบบเข้าถึงข้อมูลในโครงข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัทต่างๆ และทำการลบมัลแวร์ที่แฝงตัวอยู่ออกจากระบบคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวนั้นแม้ว่าจะมีความน่ากังวลในเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ความกลัวเรื่องการจู่โจมทางไซเบอร์ของรัสเซียนั้นถือว่าไม่เกินความจริง อย่างเช่นช่วงก่อนสงครามยูเครน ช่วงกลางเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ เว็บไซต์ของหน่วยงานสังกัดรัฐบาลยูเครนถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ของรัสเซียจนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้นานหลายชั่วโมง และช่วงต้นเดือนมีนาคม หลังจากที่รัสเซียทำการรุกรานยูเครนแล้ว รัสเซียยังทำการโจมตีทางไซเบอร์ใส่โครงข่ายระบบสื่อสารและระบบคอมพิวเตอร์สำหรับสั่งการควบคุมระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ของยูเครนและโปแลนด์ด้วย
4. นายฮิว วิลเลียมสัน (Hugh Williamson) ผอ.แผนกภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลางของฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก ออกมาเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวกรณีเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองทัพรัสเซียในยูเครน พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ทำการลงพื้นที่สำรวจและสัมภาษณ์ผู้อยู่ในเหตุการณ์กับเหยื่อรายต่างๆ ดังนี้
จะเห็นได้ว่า ตอนนี้เริ่มจะมีข่าวเรื่องความโหดร้ายของรัสเซียออกมามากขึ้นทุกที จนแทบจะเลยขอบเขตของการสังหารหมู่ (Massacre) และอาชญากรรมสงคราม (War Crime) ไปแล้ว และหลายฝ่ายเริ่มมองว่าเหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้อาจเป็นมากกว่าแค่ความรุนแรงที่เกิดจากสงคราม แต่อาจไปถึงขั้นว่านี่เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรกของรัสเซียในการกวาดล้างชาติพันธุ์ (Ethnic Cleansing) ชาวยูเครนทั้งหมด
หากผมมีเวลาว่างพอ ผมอาจจะแปลบทความข่าวจากรัสเซียที่เป็นต้นเหตุให้หลายคนเริ่มมองว่าเหตุการณ์ในยูเครนไม่ใช่แค่สงครามรุกรานเพื่อชิงดินแดน แต่มีเป้าหมายไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยูเครน ในระดับใกล้เคียงกับนาซีในอดีตเลยทีเดียว และผมอาจแปลบทสัมภาษณ์เล่าเหตุการณ์ของเหยื่ออาชญากรรมสงครามเหล่านี้มาให้อ่านด้วย