อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 210 ของสงคราม หลังจากที่เตรียมการประกาศข่าวสำคัญมาตั้งแต่เมื่อคืน
(หรือช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทย) ในที่สุด ปธน.ปูตินก็ได้ประกาศแถลงการณ์การ ระดมกำลังพล (Mobilization) ภายในประเทศรัสเซียอย่างเป็นทางการ ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่ารัสเซียจะเพิ่มระดับความเข้มข้นของการทำสงครามให้มากยิ่งขึ้น
หลังจากที่นักวิชาการณ์คาดการณ์มาอย่างยาวนานว่า ปธน.ปูตินอาจทำการประกาศระดมกำลังพลทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงวันแห่งชัยชนะ (Victory Day) หรือวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา ในที่สุด ปธน.ปูตินก็ได้ประกาศทำการ “ระดมกำลังพลบางส่วน” (Partial Mobilization) ทั่วประเทศแล้ว ซึ่งจะมีผลให้บรรดาพลเมืองสัญชาติรัสเซียทุกรายที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีกำลังพลสำรองซึ่งมีจำนวนนับล้านนาย ถูกเรียกระดมพลโดยกองทัพเพื่อเข้ารับการฝึกก่อนถูกส่งไปรบในยูเครน
หลังการประกาศของ ปธน.ปูติน นายเซอร์เกย์ ชอยกู (Sergei Shoigu) รมว.กลาโหมรัสเซีย ได้ออกมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “รัสเซียทเวนตี้โฟร์” (Russia-24) ว่าทางกองทัพจะทำการระดมกำลังพลสำรองจำนวนทั้งสิ้น 300,000 นาย ในการประกาศระดมพลครั้งนี้ อีกทั้งยังได้อัพเดตเพิ่มเติมเรื่องความสูญเสียของกองทัพรัสเซียและยูเครน โดยชอยกูกล่าวว่าจนถึงปัจจุบัน มีทหารรัสเซียเสียชีวิต (KIA) จากการสู้รบในยูเครนเพียง 5,937 นายเท่านั้น และยืนยันว่าบรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ (WIA) กว่า 90% ได้รับการรักษาจนสามารถกลับเข้าสู่สนามรบได้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนั้น นายชอยกูยังอ้างว่าจนถึงปัจจุบัน กองทัพยูเครนประสบความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีทั้งทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมกันมากกว่า 100,000 นาย
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในแถลงการณ์ของนายชอยกูและในรายละเอียดของกฤษฎีกาการระดมกำลังพล (Mobilization Decree) บุคคลที่อายุไม่เกิน 27 ปี และผู้พิการหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ รวมถึงบุคคลผู้ประกอบอาชีพอยู่ในภาคอุตสาหกรรมอาวุธจะได้รับการยกเว้นหมายเรียกระดมพล นายชอยกูยังกล่าวเพิ่มเติมว่านักเรียนนักศึกษา และทหารเกณฑ์จะไม่ถูกเรียกระดมพล
(กฎหมายรัสเซียห้ามส่งทหารเกณฑ์ไปรบในต่างแดน) แม้ว่าจะมีรายชื่อในบัญชีกำลังสำรองก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้ว่า ปธน.ปูตินและนายชอยกูจะกล่าวตรงกันว่าการระดมกำลังพลครั้งนี้ไม่ใช่ “การระดมกำลังพลเต็มกำลัง” (General Mobilization) และจะมีผลบังคับใช้เฉพาะกับผู้ที่ผ่านการฝึกทหารและมีรายชื่ออยู่ในบัญชีกำลังพลสำรองเท่านั้น แต่ในรายละเอียดของกฤษฎีกาที่ประกาศออกมา กลับไม่มีการะบุถึงข้อยกเว้นนี้ไว้แต่อย่างใด ซึ่งเปิดช่องให้รัฐบาลรัสเซียสามารถทำการบังคับเกณฑ์ชายวัยกลางคนและชายสูงอายุมาเป็นทหารได้
นอกจากนี้ ในกฤษฎีกาการระดมกำลังพลยังได้ประกาศต่ออายุสัญญาจ้างของทหารอาชีพทุกนายในกองทัพรัสเซีย จนกว่ารัฐบาลจะประกาศยุติการระดมกำลังพลอย่างเป็นทางการ เท่ากับว่าปิดช่องทางไม่ให้ทหารที่ครบกำหนดอายุสัญญาจ้างในกองทัพลาออกได้
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของกฤษฎีกาการระดมกำลังพล (ฉบับแปลภาษาอังกฤษ) ได้ที่นี่ >>>
https://twitter.com/wartranslated/status/1572498279190986761สิ่งที่เป็นข่าวดีสำหรับยูเครนก็คือ การประกาศระดมพลไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะสามารถรวมกำลังทหารได้เป็นแสนนายในชั่วข้ามคืน แต่เป็นไปได้มากกว่าที่รัสเซียจะส่งทหารชุดใหม่เข้ามาเป็นระลอก โดยนายวาดิม เดนิเซนโก (Vadym Denisenko) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยูเครน ให้ความเห็นว่ารัสเซียน่าจะสามารถส่งกำลังทหารระลอกแรกเข้ามาในยูเครนได้เพียง 40,000 - 50,000 นายเท่านั้น
นอกจากนี้ ไม่กี่ชัวโมงก่อนหน้าการประกาศระดมกำลังพล บรรดารัฐบาลยูเครนแปรพักตร์ในจังหวัดเคอร์สัน (Kherson Oblast) และซาโปริสเซีย (Zaporizhzhia Oblast) ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรัสเซีย กับรัฐบาลกบฏแบ่งแยกดินแดนของ “สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์” (Luhansk People’s Republic) และ “สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์” (Donetsk People’s Republic) ได้พร้อมใจกันประกาศเตรียมจัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากยูเครน และประชามติเพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย ภายในวันที่ 23-27 ก.ย. นี้
นั่นหมายความว่า เมื่อดินแดนเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย จะทำให้รัสเซียสามารถทำการสั่งเกณฑ์ทหารกับพลเรือนในดินแดนเหล่านี้ โดยเฉพาะเคอร์สันและซาโปริสเซียได้ในทันที ตามการให้สัมภาษณ์ของนายชอยกู ในขณะที่โดเนตสก์และลูฮันสก์ได้เข้าสู่การเกณฑ์ทหารทั่วประเทศมาร่วมเดือนแล้ว นอกจากนั้น เมื่อดินแดนเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย จะทำให้รัฐบาลรัสเซียสามารถทำการส่งทหารเกณฑ์เข้าสู่สนามรบได้โดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องอธิปไตยของดินแดนรัสเซีย ไม่ใช่การส่งทหารเกณฑ์ไปรบในต่างแดนซึ่งจะเป็นการผิดต่อกฎหมายของประเทศ
นอกจากการ “ลงประชามติ” ของบรรดาดินแดนใต้การยึดครองของรัสเซียแล้ว ในวันเดียวกัน สภาดูมาของรัสเซียยังได้ลงมติผ่านร่างแก้ไขกฎหมายอาญาฉบับใหม่ โดยได้ทำการเพิ่มเติมโทษสำหรับพลทหารผู้กระทำความผิดในฐานะ “ปล้นสะดม” (Looting) และ “การสมัครใจยอมจำนน” (Voluntary Surrender) กล่าวคือ ทหารที่กระทำการปล้นสะดมในพื้นที่สงครามจะได้รับโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี และทหารที่ทำการยอมจำนนต่อกองทัพยูเครน จะมีโทษจำคุก 3-10 ปี
พร้อมกันนั้น ยังมีการยกระดับโทษสำหรับทหารผู้กระทำความผิดในฐานขาดการติดต่อกับผู้บังคับบัญชาเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งเดือน โดยเพิ่มโทษจำคุกเป็น 5-10 ปี จากเดิมโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และผู้ที่ละเมิดกฎอัยการศึก หรือพลทหารที่ขัดคำสั่งในการเข้าร่วมสนามรบของผู้บังคับบัญชาจะต้องโทษจำคุก 2-3 ปี
การเพิ่มเติมโทษสำหรับผู้ทำผิดกฎทหาร ไม่ว่าจะเป็นโทษสำหรับผู้ยอมจำนนต่อฝ่ายยูเครน โทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือหนีทัพ และโทษสำหรับผู้ทำผิดกฎอัยการศึก
(ซึ่งปัจจุบันมีผลบังคับใช้เฉพาะดินแดนยึดครองในยูเครน และจังหวัดชายแดนติดกับยูเครนของรัสเซีย) เท่ากับเป็นการข่มขู่-บีบบังคับทหารรัสเซียในสนามรบทางอ้อมไม่ให้ยอมจำนน และต้องทำตามคำสั่งในการรบของผู้บังคับบัญชา มิเช่นนั้นจะต้องกลับมาเผชิญโทษทัณฑ์ในรัสเซีย รวมถึงทำให้รัสเซียใช้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดกฎอัยการศึก เพื่อบังคับจับกุมประชาชนยูเครนในเขตยึดครองมาเป็นทหารในกองทัพรัสเซียได้
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลรัสเซียจะประกาศว่าการระดมพลครั้งนี้เป็นเพียง “การระดมกำลังพลบางส่วน” เท่านั้น อีกทั้งนายชอยกูยังประกาศว่ากองทัพจะทำการระดมกำลังพลให้ได้จำนวน 300,000 นาย แต่ในรายละเอียดของกฤษฎีกาการระดมกำลังพลฉบับจริง กลับมีมาตรา 7 ที่ถูกปกปิดไว้เป็นความลับ โดยระบุไว้เพียงว่า “เฉพาะส่วนราชการ” เท่านั้น ประกอบกับรายงานถึงการก่อตั้งสำนักงานระดมพลขึ้นในเมืองใหญ่เช่นกรุงมอสโก และรายงานเรื่องสายการบินในประเทศประกาศห้ามวางจำหน่ายตั๋วเที่ยวบินให้กับชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18-65 ปี เว้นแต่จะได้รับเอกสารรับรองจากกระทรวงกลาโหม ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่ารัฐบาลรัสเซียอาจแค่พยายามเลี่ยงบาลีเพื่อแอบทำการ “ระดมกำลังพลเต็มกำลัง” โดยการเกณฑ์ทหารทั่วประเทศก็เป็นได้
ปล. แก้ไขลิงก์ข่าวใหม่
ที่มา: