เว็บติดตามสถานการณ์ในยูเครนแบบ Live Map

[samuison]

ผมมองว่าประเทศเล็กๆก่อสงครามกันนี่แสดงว่าสมดุลย์โลกจะเปลี่ยนจริงๆแล้วครับ
ส่วนจะไปเปลี่ยนไปทางไหน มากน้อยก็มิอาจทราบได้
อเมริกาจะเลือกความสงบมากวก่าอำนาจที่มากขึ้นหรอืเปล่า?ดูจากปากคำคิสซิงเจอร์ ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับจีน แผนการทั้งหมดเน้นทางรัสเซียมากกว่า

[sariora123]

[quote/] ผมถึงบอกไงท่านว่าพวกนี้มันมหามิด(ด้าม)ไงครับ
[quote/] ช่องติ่งจีนยังบอกว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างหนักเลยครับผม

คนป่วย?แห่งยุโรป ชื่อมันมีที่มา


sick ในประโยคนี้ เป็งคำแสลง ไม่ได้ใช้ความหมายปกติ

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 206 ของสงคราม Part 1

1. ไม่นานหลังจากกองทัพยูเครนสามารถปลดแอกดินแดนส่วนใหญ่ของจังหวัดคาร์คิฟ (Kharkiv Oblast) ได้สำเร็จ ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์แบบในเมืองบูคา (Bucha) และเออร์พิน (Irpin) จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีรายงานการพบสุสานขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 440 - 450 ศพ ภายในป่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอิซิอุม (Izium) หนึ่งในแนวหน้าของกองทัพรัสเซียในคาร์คิฟเมื่อหลายเดือนก่อน

นายเซอร์ฮีย์ โบลวินอฟ (Serhiy Bolvinov) สารวัตรสอบสวนกองบังคับการตำรวจจังหวัดคาร์คิฟ ได้แถลงข่าวการค้นพบสุสานขนาดใหญ่นอกเมืองอิซิอุม ซึ่งคาดว่าในหลุมศพดังกล่าวจะมีศพอยู่ประมาณ 440 - 450 ศพ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าศพที่ถูกพบในตอนนี้ล้วนเป็นพลเรือนสัญชาติยูเครนที่เสียชีวิตในช่วงที่เมืองตกอยู่ใต้การยึดครองของกองทัพรัสเซีย และหลายศพยังพบร่องรอยการถูกทรมานโดยทหารรัสเซียก่อนถูกสังหารในภายหลัง และทางเจ้าพนักงานสืบสวนเชื่อว่านอกจากพลเรือนแล้ว พื้นที่ดังกล่าวน่าจะมีศพของทหารยูเครนรวมอยู่ด้วย เนื่องจากมีรายงานว่าสถานที่ดังกล่าวถูกทหารรัสเซียใช้เป็นหลุมฝังกลบศพของทหารยูเครนที่เสียชีวิตจากการสู้รบหรือตกเป็นเชลย

สำนักข่าว “สกายนิวส์” (Sky News) ยังได้ทำการสัมภาษณ์นายโบลวินอฟ โดยโบลวินอฟกล่าวว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าศพที่ถูกพบในสุสานเมืองอิซิอุมนั้นมีทั้งที่เสียชีวิตจากการถูกยิงสังหาร เสียชีวิตเนื่องจากการยิงปืนใหญ่และการทิ้งระเบิด บ้างยังเสียชีวิตเนื่องจากผลกระทบกระเทือนด้านจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งจะต้องรอผลการชันสูตรและการสอบสวนต่อไป นายโบลวินอฟยังกล่าวอีกว่าอิซิอุมไม่ใช่สถานที่เดียวที่มีการค้นพบหลุมฝังศพขนาดใหญ่ แต่ยังมีรายงานการค้นพบสุสานอื่นๆ ทั่วดินแดนของจังหวัดคาร์คิฟที่กองทัพยูเครนพึ่งทำการปลดแอกจากกองทัพรัสเซียได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นายแม็กซิม เสตรลนิค (Maksym Strelnyk) ประธานสภาเมืองอิซิอุม ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่กองทัพรัสเซียเข้ายึดครองเมืองอิซิอุม ส่งผลให้ประชาชนในเมืองเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการขาดแคลนยารักษาโรคและการเข้าถึงการรักษาพยาบาล เนื่องจากกองทัพรัสเซียได้ทำการปล้นสะดมเอายารักษาโรคในโรงพยาบาลไปจนหมดและยังทำลายโรงพยาบาลและสถานอนามัยต่างๆ ทิ้ง อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่กว่า 80% ของเมืองยังถูกทำลายจนย่อยยับจากการสู้รบ และปัจจุบันในเมืองเหลือประชาชนอาศัยอยู่เพียง 10,000 ราย จากทั้งหมด 50,000 รายช่วงก่อนสงคราม


2. แม้รัสเซียจะพ่ายแพ้ให้แก่ยูเครนในการรบที่คาร์คิฟ แต่ดูเหมือนว่ารัสเซียจะยังคงความได้เปรียบเรื่องการทำศึกระยะไกลอยู่ โดยล่าสุดมีรายงานว่ากองทัพรัสเซียได้ทำการยิงจรวดขีปนาวุธทำลายอ่างเก็บน้ำในเมืองครีไวรีห์ (Kryvyi Rih) จังหวัดนีโปรเปตรอฟสก์ (Dnipropetrovsk Oblast) ทางตอนกลางของประเทศ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในเมืองและประชาชนอีกหลายพันคนไม่สามารถเข้าถึงน้ำประปาได้

คืนวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานว่ากองทัพรัสเซียได้ทำการยิงจรวดขีปนาวุธทำลายสถานีสูบน้ำในอ่างเก็บน้ำคาราชุนนิฟสเก (Karachunivske Resevoir) เมืองครีไวรีห์ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำอินฮูเล็ตส์ (Inhulets River) ที่ไหลจากเมืองเมืองครีไวรีห์ลงใต้ไปยังจังหวัดเคอร์สัน (Kherson Oblast) เกิดน้ำพุ่งสูงฉับพลันประมาณ 2.5 ม. และทำให้บ้านเรือนกว่า 112 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้น้ำ และประชาชนในเมืองอีกประมาณ 5,000 รายไม่สามารถใช้น้ำประปาได้ ต่อมาทางรัสเซียได้ทำการยิงขีปนาวุธโจมตีใส่อ่างเก็บน้ำซ้ำอีกหนึ่งรอบเพื่อขัดขวางการซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำ

ภาพประกอบ แสดงตำแหน่งของเมืองครีไวรีห์ (สีเหลืองเข้มด้านบน) อ่างเก็บน้ำที่ถูกทำลาย (กากบาท) และเส้นทางการไหลของแม่น้ำอินฮูเล็ตส์ (เส้นสีฟ้าเทา)

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ณ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้องของฝ่ายยูเครนได้ทำการซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำและหยุดการไหลของน้ำได้สำเร็จแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจและฟื้นฟูสภาพของเมืองที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมต่อไป

การโจมตีอ่างเก็บน้ำในเมืองครีไวรีห์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองที่รัสเซียเริ่มทำการโจมตีระยะไกลด้วยจรวดขีปนาวุธหลังจากความพ่ายแพ้ในศึกคาร์คิฟ เพื่อทำลายระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของยูเครนเพื่อบั่นทอนความสามารถในการรับมือกับลมหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากที่คืนวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา รัสเซียได้ยิงจรวดขีปนาวุธโจมตีโรงไฟฟ้า “คาร์คิฟเทค-5” (Kharkiv TEC-5) โรงไฟฟ้าระบบพลังงานร่วมที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับ 2 ของประเทศ ส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับทั่วจังหวัดคาร์คิฟ (Kharkiv Oblast) และโดเนตสก์ (Donetsk Oblast) รวมถึงทำให้เกิดเหตุไฟฟ้าดับขึ้นในพื้นที่บางส่วนของจังหวัดนีโปรเปตรอฟสก์ ซูมี (Sumy Oblast) และซาโปริสเซีย (Zaporizhzhia Oblast) อีกด้วย แต่ในภายหลังระบบไฟฟ้าได้ถูกซ่อมแซมให้กลับมาทำงานได้ตามปกติในหลายพื้นที่แล้ว

นอกจากนี้ ยังคาดว่ารัสเซียตั้งใจทำการโจมตีอ่างเก็บน้ำในครีไวรีห์ เพื่อหวังทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำอินฮูเล็ตส์สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้การส่งกำลังบำรุงของกองทัพยูเครนที่กำลังการรุกคืบในเมืองเคอร์สันทำได้ยากลำบากมากยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังหวังผลทางจิตวิทยา เนื่องจากเมืองครีไวรีห์นั้นเป็นบ้านเกิดของ ปธน.เซเลนสกี้แห่งยูเครนอีกด้วย



ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[wanit000]

อ๊าก ใครเป็นนักศึกษาเรียนหมอ ตอนนี้บินไปยูเครนดีสุดสินะ มีศพให้ลองผ่าเพื่อเรียนรู้อย่างเยอะ 

[KAGUYA]

อ๊าก ใครเป็นนักศึกษาเรียนหมอ ตอนนี้บินไปยูเครนดีสุดสินะ มีศพให้ลองผ่าเพื่อเรียนรู้อย่างเยอะ 

ก็ถ้าไม่กลายเป็นศพซะเองก่อนนะ

[wanit000]

[quote/]ก็ถ้าไม่กลายเป็นศพซะเองก่อนนะ

ประโยคคลาสสิก ยังใช้ได้เสมอ ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งได้มาก 

[pol]

อ๊าก ใครเป็นนักศึกษาเรียนหมอ ตอนนี้บินไปยูเครนดีสุดสินะ มีศพให้ลองผ่าเพื่อเรียนรู้อย่างเยอะ 

แน่ใจเรอะว่าจะมีเวลาผ่าศพ?  ถูกจิกหัวใช้เป็นแพทย์สนามมากกว่ามั๊งท่าน 

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 206 ของสงคราม Part 2

3. ด้านสถานการณ์พลังงานของยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่าเยอรมนีจะสามารถทำการสำรองพลังงานได้มากเพียงพอในฤดูหนาวปลายปีนี้ ล่าสุดรัฐบาลเยอรมนีได้ประกาศทำการเข้าควบคุมการบริหารงานของบริษัทพลังงาน “รอสเนฟต์” ของรัสเซียในเยอรมนีแล้ว

เมื่อวานนี้รัฐบาลเยอรมนี นำโดยนายโอลัฟ ชอลซ์ (Olaf Scholz) นายกรัฐมนตรี และนายโรเบิร์ต ฮาเบ็ค (Robert Habeck) รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กิจการด้านเศรษฐกิจและสภาพภูมิอากาศ ได้แถลงข่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีได้ทำการเข้าควบคุมการบริหารกิจการของบริษัท “รอสเนฟต์ดอยช์ลันด์” (Rosneft Deutschland GmbH) และบริษัท “อาร์เอ็น” (RN Refining & Marketing GmbH) โดยการแต่งตั้งให้กรมโครงข่ายสาธารณูปโภค (Federal Network Agency) เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัท ซึ่งทั้งสองบริษัทล้วนเป็นกิจการสาขาย่อยประจำเยอรมนีของบริษัท “รอสเนฟต์” (PJSC Rosneft Oil Company) ยักษ์ใหญ่เบอร์สองด้านธุรกิจพลังงานของรัสเซีย

การเข้าควบคุมกิจการของบริษัททั้งสอง ซึ่งจะมีผลเป็นระยะเวลาทั้งหมด 6 เดือน จะทำให้รัฐบาลเยอรมนีสามารถเข้าควบคุมการทำงานของโรงกลั่นน้ำมันสำคัญ 3 แห่งในประเทศ ซึ่งเดิมทีอยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท “รอสเนฟต์” ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย เพื่อเป็นหลักประกันว่าบริษัทพลังงานและโรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้จะปฏิบัติตามมาตรการพลังงานของรัฐบาลเยอรมนี ไม่ใช่คำสั่งจากบริษัทแม่ในรัสเซีย ประกอบไปด้วยโรงกลั่นน้ำมัน “พีซีเค” (PCK Refinery GmbH) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, โรงกลั่นน้ำมัน “ไมโร” (Mineraloelraffinerie Oberrhein GmbH) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และโรงกลั่นน้ำมัน “บาเยิร์นออยล์” (Bayernoil Raffineriegesellschaft mbH) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งสามโรงกลั่นรวมกันจะมีสัดส่วนในการกลั่นน้ำมันในประเทศเยอรมนีมากถึง 12% และโดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน “พีซีเค” นั้น เป็นแหล่งที่มาของน้ำมันกลั่นกว่า 90% ที่ใช้งานอยู่ภายในกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี

การเข้าควบคุมกิจการของบริษัทน้ำมันจากรัสเซียในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงานในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้พนักงานบริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาการตกงาน และป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านี้เผชิญกับปัญหาด้านกฎหมายในอนาคต เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียของสหภาพยุโรปกำลังจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการภายในสิ้นปีนี้


4. แม้เยอรมนีจะสามารถแก้ปัญหาความมั่นคงทางพลังงานในประเทศไปได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดปัญหาอยู่ในตอนนี้คือโครงการท่อส่งก๊าซ “มิดแคต” (MidCat Pipeline) ระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส ซึ่งรัฐบาลสเปน โปรตุเกส และเยอรมนีต่างผลักดันอย่างเต็มที่ ตรงข้ามกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่ค้านหัวชนฝากับโครงการท่อส่งก๊าซใหม่ตัวนี้

เท้าความก่อนว่าโครงการท่อส่งก๊าซ “มิดแคต” (MidCat Pipeline) นั้น เป็นโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติระหว่างภาคใต้ของฝรั่งเศสกับประชาคมปกครองตนเองกาตาลุญญา (Catalonia Autonomous Community) ของสเปนซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2003 ก่อนจะถูกสั่งพับโครงการไปในปี 2019 เนื่องจากนักสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นว่าผลกระทบจากการทำลายสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้างนั้นสูงเกินไป พร้อมกับงบประมาณการก่อสร้างที่สูงเนื่องจากต้องทำการเจาะผ่านเทือกเขาพิเรนีส กระทั่งสงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้สเปนปัดฝุ่นนำโครงการก่อสร้างท่อก๊าซ “มิดแคต” กลับมาใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานตัวใหม่ของสหภาพยุโรปแทนที่รัสเซีย โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสเปนและโปรตุเกส เนื่องจากทั้งสองจะได้กำไรมหาศาลจากการส่งออกก๊าซไปยังประเทศอื่นในยุโรป ขณะที่เยอรมนีนั้นกำลังต้องการมองหาแหล่งพลังงานใหม่เพื่อมาทดแทนรัสเซีย จึงให้การสนับสนุนแนวคิดท่อส่งก๊าซ “มิดแคต” อย่างเต็มที่เช่นกัน

ภาพประกอบ แสดงตำแหน่งของท่อส่งก๊าซ “มิดแคต” (เส้นประสีแดง)

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฝรั่งเศสกลับคัดค้านโครงการดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระยะเวลาในการดำเนินงาน รวมถึงกล่าวว่าโครงการนี้ขัดต่อเป้าหมายการผลักดันพลังงานสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับมองว่าฝรั่งเศสต้องการรักษาผลประโยชน์ในการส่งออกกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง “มิดแคต” สามารถเข้ามาตีตลาดดังกล่าวของฝรั่งเศสได้อย่างง่ายดาย เช่นล่าสุดในการพูดคุยกันระหว่าง ปธน.แอมานุแอล มาครง (Emmanuel Macron) ของฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีโอลัฟ ชอลซ์ (Olaf Scholz) ของเยอรมนี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา ปธน.มาครงยังคงยืนกรานว่ารัฐบาลฝรั่งเศสนั้นคัดค้านการก่อสร้างโครงการ “มิดแคต” จนกว่ารัฐบาลอื่นๆ จะหาหลักฐานมาเกลี้ยกล่อมให้ทางรัฐบาลฝรั่งเศสเชื่อว่ามันจะสามารถทำงานได้ตามจริงตามที่คาดการไว้ ได้หรือไม่



ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[KAGUYA]

เยอรมันทำแบบนี้นี่อารมณ์คล้ายกับการยึดกิจการของประเทศศัตรูสมัยww2เลย

[quote/]ประโยคคลาสสิก ยังใช้ได้เสมอ ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งได้มาก 

เตือนไว้ก่อนนะว่าผลตอบแทนที่ว่านะ ต้อง"ทำสำเร็จก่อน"นะถึงจะได้ ย้ำอีกครั้งว่า"ทำสำเร็จก่อน" ซึ่งเมื่อความเสี่ยงสูงโอกาสล้มเหลวมันจคงสูงมาก

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 207 ของสงคราม Part 1

1. ยูเครนยังคงได้รับความช่วยเหลือจากชาติตะวันตกอย่างต่อเนื่อง โดยในวันศุกร์ที่ผ่านมา เกิดเหตุไฟล์ข้อมูลของร่างงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2023 ของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้หลุดออกมาสู่สาธารณะ เพียงไม่กี่วันก่อนที่รัฐบาลจะทำการเสนอร่างงบประมาณต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติ ซึ่งในเอกสารที่หลุดออกมานั้น มีรายละเอียดระบุถึงเงินงบประมาณสำหรับสนับสนุนยูเครนรวมอยู่ด้วย คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 3,900 ล้านยูโร (142,275 ล้านบาท) โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น

1.1 เงินงบประมาณสนับสนุนแก่ผู้ลี้ภัยสงครามชาวยูเครน จำนวน 2,600 ล้านยูโร (94,850 ล้านบาท)
1.2 เงินงบประมาณสนับสนุนด้านมนุษยธรรม จำนวน 70 ล้านยูโร (2,550 ล้านบาท)
1.3 เงินงบประมาณสนับสนุนด้านการทหาร ไม่ระบุจำนวน (คาดว่าไม่เกิน 1,230 ล้านยูโร หรือ 44,870 ล้านบาท)

ในเอกสารยังระบุด้วยว่าเงินงบประมาณจำนวน 503 ล้านยูโร (18,350 ล้านบาท) จะถูกนำมาใช้จ่ายตามแผนงบประมาณของปีนี้ ขณะที่เงินงบประมาณอีก 1,000 ล้านยูโร (36,480 ล้านบาท) จะกำหนดให้เป็นงบประมาณผูกพันสำหรับการแก้ปัญหาและการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยสงครามชาวยูเครน โดยจะมีผลผูกพันไปจนถึงปี 2027

นอกจากนี้ ในร่างงบประมาณยังกำหนดให้รัฐบาลทำการเพิ่มจำนวนงบประมาณทางทหารเป็น 2% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือเท่ากับ 5,000 ล้านยูโร (182,400 ล้านบาท)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นอกจากเนเธอร์แลนด์ สำนักข่าว “เวลต์อัมซอนแตก” (Welt am Sonntag) ของเยอรมนี ยังรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ผู้ไม่เปิดเผยนาม กล่าวว่ารัฐบาลยูเครน เยอรมนี และบริษัทอุตสาหกรรมอาวุธ “เคเอ็มดับเบิลยู” (Krauss-Maffei Wegmann GmbH & Co. KG) ของเยอรมนี ได้บรรลุข้อตกลงในการผลิตและส่งมอบปืนใหญ่วิถีโค้งอัตตาจรขนาด 155 ม.ม. รุ่น RCH-155 ให้แก่กองทัพยูเครน จำนวนทั้งหมด 18 คัน รวมมูลค่าทั้งหมด 216 ล้านยูโร (7,880 ล้านบาท)

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่หลุดออกมา พบว่าทางการยูเครน นำโดยนายโอเล็กซีย์ เรสนิคอฟ (Oleksii Reznikov) รมว.กลาโหมยูเครน ได้ยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงในการจัดหาปืนใหญ่อัตตาจรให้แก่นางคริสติน แลมเบร็ค (Christine Lambrecht) รมว.กลาโหมเยอรมนี ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. หรือประมาณสองเดือนที่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำการเจรจากันไปมาหลายครั้ง จนกระทั่งรัฐบาลเยอรมนีตัดสินใจอนุมัติการส่งออกปืนใหญ่อัตตาจร RCH-155 ให้แก่ยูเครนในครั้งนี้

อย่างไรก็ดี ข้อมูลของสัญญาที่หลุดออกมากล่าวว่าบริษัท “เคเอ็มดับเบิลยู” จะสามารถทำการส่งมอบปืนใหญ่อัตตาจร RCH-155 ตัวแรกให้แก่กองทัพยูเครนได้ภายในระยะเวลา 30 เดือน หรือประมาณเดือนมีนาคม ปี 2025 ทำให้เชื่อได้ว่าสัญญาซื้อขายครั้งนี้น่าจะเป็นการจัดหาและเตรียมความพร้อมสำหรับกองทัพยูเครนในอนาคต มากกว่าจะเป็นการจัดหาเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการทำสงครามกับรัสเซียในตอนนี้

ภาพประกอบ ปืนใหญ่อัตตาจร RCH-155 ขณะกำลังทำการทดสอบสมรรถนะที่สนามทดสอบยิงปืนคลีตส์ (Klietz Firing Range) นอกเมืองเบอร์ลิน เยอรมนี ปี 2021

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นอกจากเนเธอร์แลนด์และเยอรมนี สเปนพึ่งทำการส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารชุดล่าสุดของตนให้กับกองทัพยูเครนเมื่อวานนี้ ซึ่งชุดความช่วยเหลือทางทหารชุดนี้ประกอบไปด้วย
1) ยานเกราะ 20 คัน (ไม่ได้ระบุว่าเป็นยานเกราะรุ่นใด)
2) กระสุนปืนใหญ่ไม่ระบุจำนวน บรรจุใส่แท่นลำเลียงกระสุนจำนวนทั้งหมด 75 แท่น 
3) ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (ไม่ได้ระบุว่าหมายถึงอาวุธชนิดใด)
4) เชื้อเพลิงดีเซลปริมาณ 1,000 ตัน

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสเปนยังกล่าวเพิ่มเติมว่าความช่วยเหลือทางทหารชุดต่อไป ซึ่งจะประกอบไปด้วยเครื่องแบบฤดูหนาวจำนวน 30,000 ตัว เสื้อแจ็คเก็ต 15,600 ตัว และเครื่องแบบทั่วไปอีก 15,000 ตัว โดยทั้งหมดจะมีกำหนดส่งมอบภายในเดือนกันยายนนี้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับความคืบหน้าเรื่องโครงการฝึกทหารยูเครนร่วมกันโดยสหภาพยุโรป ซึ่งถูกเสนอขึ้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา และจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกทหารพิเศษเช่นแพทย์ทหาร ทหารช่าง และพลซุ่มยิง ล่าสุดรัฐบาลโปแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนีได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนต่อโครงการดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญมองว่ายังต้องใช้เวลานานกว่าโครงการฝึกทหารยูเครนโดยสมาชิกของสหภาพยุโรปจะตกผลึกชัดเจน เนื่องมาจากระบบการทำงานที่ล่าช้าและอุ้ยอ้ายของ EU เอง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทางด้านฝรั่งเศสนั้น ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกลาโหมฝรั่งเศส ได้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าว “โพลิติโก” (Politico) ว่าฝรั่งเศสนั้นไม่สามารถทำการฝึกอบรมทหารยูเครนเป็นจำนวนมากได้แบบที่สหราชอาณาจักรกำลังทำอยู่ เนื่องจากฝรั่งเศสนั้นไม่มีกำลังพลที่เพียงพอต่อการทำหน้าที่ดังกล่าว เนื่องด้วยกำลังพลส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสยังคงติดภารกิจการรักษาสันติภาพอยู่ในทวีปแอฟริกาเป็นหลัก นองจากนี้ ทางรัฐบาลฝรั่งเศสนั้นต้องการวางท่าทีเป็น “คนกลาง” ระหว่างชาติตะวันตกและยูเครนกับฝั่งรัสเซีย จึงไม่ต้องการแสดงท่าทีที่อาจสร้างความขัดแย้งกับรัสเซียมากเกินไปได้
อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาคนดังกล่าวบอกใบ้ว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลฝรั่งเศสอาจอนุมัติให้กองทัพทำการฝึกฝนหน่วยรบพิเศษของยูเครนโดยลับด้วยเช่นกัน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นอกจากความช่วยเหลือทางทหารแล้ว ยูเครนยังได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอีกด้วย โดยเมื่อวานนี้กระทรวงการคลังของยูเครนได้แถลงข่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐและธนาคารโลก ที่ได้ทำการมอบเงินให้เปล่าแก่รัฐบาลยูเครน มูลค่าทั้งหมด 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (54,630 ล้านบาท) และเมื่อรวมกับเงินให้เปล่าจำนวน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (109,260 ล้านบาท) ที่รัฐบาลสหรัฐมอบให้กับรัฐบาลยูเครนเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา เท่ากับว่ารัฐบาลสหรัฐ ผ่านทางธนาคารโลก ได้มอบเงินให้เปล่าแก่รัฐบาลยูเครนรวมทั้งหมด 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (163,900 ล้านบาท)

สำหรับเงินงบประมาณเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้โดยรัฐบาลยูเครนในด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการรัฐ เช่นเงินสนับสนุนผู้มีรายได้ต่ำ เงินสนับสนุนผู้อพยพลี้ภัย เงินสนับสนุนผู้พิการ เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายครัวเรือน และเงินสนับสนุนองค์กรระดับชุมชน เป็นต้น



ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 207 ของสงคราม Part 2

2. อัพเดตสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจันรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ล่าสุดทั้งสองฝ่ายนั้นสามารถบรรลุข้อตกลงการเจรจาหยุดยิงได้เรียบร้อยแล้วในวันพุธที่ผ่านมา หลังจากการเจรจาหยุดยิงรอบแรกนำโดยรัสเซียนั้นประสบความล้มเหลว ช่วยลดความกังวลให้กับฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามบานปลายมากเกินไป ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ของทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้มีทหารเสียชีวิตรวมกันทั้งหมด 176 นาย แบ่งเป็นทหารอาร์เมเนีย 105 นาย และทหารอาเซอร์ไบจัน 71 นาย โดยที่อาร์เมเนียกล่าวว่ามีทหารของตน 5 รายตกเป็นเชลยของฝ่ายอาเซอร์ไบจัน

อย่างไรก็ดี ผลจากการปะทะกันครั้งนี้ทำให้กองทัพอาเซอร์ไบจันสามารถรุกคืบยึดดินแดนของอาร์เมเนียได้เพิ่มเติมประมาณ 10 ตร.กม. หลังจากการปะทะกันรอบก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม ทำให้กองทัพอาเซอร์ไบจันสามารถยึดครองพื้นที่ในอาร์เมเนียไปได้มากถึง 40 ตร.กม. ตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ อีกทั้งการปะทะกันยังทำให้ประชาชนอาร์เมเนียกว่า 2,750 รายต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม

นอกจากนี้ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา บรรดาผู้แทนจากนานาชาติได้เดินทางไปยังเมืองเยอร์มุก (Jermuk) จังหวัดวายอทส์ซอร์ (Vayots Dzor Province) ทางตะวันออกของอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความเสียหายจากการระดมยิงปืนใหญ่ของกองทัพอาเซอร์ไบจัน และในระหว่างการรายงานสถานการณ์ให้แก่ผู้แทนนานาชาติ พลตรีเอดวร์ด อัสรัน (Major-General Eduard Asryan) ประธานคณะเสนาธิการกองทัพอาร์เมเนีย ได้รายงานว่าในระหว่างการสู้รบ ทหารอาเซอร์ไบจันได้กระทำการทรมานเชลยทหารหญิงชาวอาร์เมเนียนายหนึ่ง โดยการจับทหารหญิงรายดังกล่าวเปลื้องผ้า จากนั้นจึงทำการตัดขาและนิ้วมือของทหารหญิงผู้โชคร้าย ซึ่งในประเด็นนี้ นายอาร์มาน ตาโตยาน (Arman Tatoyan) อดีตผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนประจำอาร์เมเนีย ได้ประกาศว่าเขาและทีมงานกำลังทำการรวบรวมข้อมูลของอาชญากรรมสงครามโดยฝีมือของกองทัพอาเซอร์ไบจันในการรบที่ผ่านมา เพื่อเป็นหลักฐานเอาผิดต่อการรุกรานของอาเซอร์ไบจัน

อย่างไรก็ดี แม้การปะทะจะยุติลงแล้ว แต่สถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างมาก รัฐบาลอาร์เมเนียกล่าวว่าอาเซอร์ไบจันกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับศึกครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่แค่เพื่อทวงคืนดินแดนอาเซอร์ไบจันเดิมจากอาร์เมเนียเท่านั้น แต่ยังต้องการจะผนวกดินแดนทางใต้ของอาร์เมเนียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน เพื่อทำให้ดินแดนของ “สาธารณรัฐปกครองตนเองนาคีชีวัน” (Nakhchivan Autonomous Republic) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาร์เมเนีย เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่อาเซอร์ไบจันโดยสมบูรณ์

ภาพประกอบ แสดงดินแดนนากอร์โน-คาราบัคหลังสิ้นสุดสงครามในปี 2020 อาเซอร์ไบจันได้เปิดฉากสงครามเพื่อปลดแอกดินแดนของตนคืนจากอาร์เมเนีย ด้วยความที่อาเซอร์ไบจันร่ำรวยกว่าจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ทำให้มีงบประมาณพัฒนากองทัพมากกว่าอาร์เมเนีย ทำให้อาเซอร์ไบจันสามารถเอาชนะอาร์เมเนียได้สำเร็จ สีฟ้าคือดินแดนที่อาเซอร์ไบจันปลดแอกคืนจากอาร์เมเนียได้ระหว่างสงคราม สีเขียวเข้มคือดินแดนอาเซอร์ไบจันเดิมที่อาร์เมเนียยกคืนให้แก่อาเซอร์ไบจันในสนธิสัญญายุติสงครามปี 2020 สีส้มคือรัฐบริวาร “สาธารณรัฐอาร์ทซัค” ของอาร์เมเนีย สีม่วงคือพื้นที่เป็นกลางที่เชื่อมต่อระหว่างอาร์เมเนียกับ “สาธารณรัฐอาร์ทซัค” โดยมีทหารรักษาสันติภาพจากรัสเซียคอยประจำการอยู่ในพื้นที่ ขณะที่สีเขียวอ่อนด้านซ้ายคือ “สาธารณรัฐปกครองตนเองนาคีชีวัน” ดินแดนของอาเซอร์ไบจันที่ถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่เนื่องจากการจัดวางชายแดนในยุคสหภาพโซเวียต

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

ทั้งนี้ สิ่งที่ดูจะสร้างความประหลาดใจมากที่สุดอย่างหนึ่งหลังจบการปะทะกันครั้งนี้ นั่นคือการปรากฏตัวของนางแนนซี เปโลซี (Nancy Pelosi) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรคเดโมแครต (Democratic Party) ซึ่งได้ทำการเดินทางเยือนประเทศอาร์เมเนียเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงพลังสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการมาของเปโลซีนั้นนับเป็นการเยือนอาร์เมเนียโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐระดับสูงที่สุด นับตั้งแต่อาร์เมเนียเป็นเอกราชจากสหภาพโซเวียตในปี 1991

การเดินทางเยือนอาร์เมเนียของนางเปโลซีนั้นประกอบไปด้วยเหตุผลหลายประการ เช่นเหตุผลทางอุดมการณ์ที่นางเปโลซีนั้นสนับสนุนการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนในหลายประเทศทั่วโลก เช่นนักสิทธิมนุษยชนในจีนหรือการต่อสู้เพื่อพิทักษ์เอกราชของไต้หวัน หรือเหตุผลทางการเมืองเพื่อการเรียกคะแนนนิยมจากฐานเสียงชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือมันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตกต่ำลงอย่างหนักจากความล้มเหลวในการทำสงครามรุกรานยูเครน จนทำให้ชาติอื่นๆ เช่นสหรัฐ เริ่มเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 207 ของสงคราม Part 3

3. ทางด้านกองทัพโปแลนด์ยังคงอยู่ในระหว่างการขยับขยายกองทัพเพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลโปแลนด์นำโดยนายมาริอุสซ์ บลัชตัก (Mariusz Błaszczak) รมว.กลาโหมและรองนายกรัฐมนตรี ได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อเครื่องบินขับไล่รุ่น FA-50 Golden Eagle จากบริษัท “เคเอไอ” (Korea Aerospace Industries Ltd.) ของเกาหลีใต้ จำนวนทั้งหมด 48 ลำ รวมมูลค่าทั้งหมด 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (109,270 ล้านบาท)

ภาพประกอบ เครื่องบินขับไล่ FA-50PH Golden Eagle ของกองทัพอากาศฟิลิปปินส์

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

สำหรับรายละเอียดของสัญญาการซื้อขายครั้งนี้ พันโทคริสตอฟ ปวาแต็ก (Lieutenant Colonel Krzysztof Płatek) โฆษกกรมสรรพาวุธโปแลนด์ ได้เปิดเผยว่าสัญญาการซื้อขายเครื่องบินขับไล่ FA-50 Golden Eagle จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฉบับ ฉบับแรกสำหรับการซื้อเครื่องบินขับไล่จำนวน 12 ลำ ซึ่งมีกำหนดการส่งมอบแบบเร่งด่วนภายในปลายปีหน้า มูลค่าโครงการ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (25,500 ล้านบาท) ขณะที่สัญญาฉบับที่สองสำหรับการซื้อเครื่องบินขับไล่จำนวน 36 ลำ จะทำการทยอยส่งมอบให้กับกองทัพอากาศโปแลนด์ภายในปี 2025 – 2028 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (83,770 ล้านบาท)

สำหรับเครื่องบินขับไล่ FA-50 Golden Eagle ทั้งหมดนั้น จะถูกนำมาแทนที่เครื่องบินขับไล่จากยุคสงครามเย็นอย่าง MiG-29 และ Su-22 ซึ่งมีประจำการอยู่ในกองทัพอากาศโปแลนด์ทั้งหมด 41 ลำในปัจจุบัน แบ่งเป็น MiG-29 จำนวน 23 ลำ และ Su-22 จำนวน 18 ลำ


4. อีกด้านหนึ่งของเอเชียกลาง การปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างทาจิกิสถานและคีร์กีซสถานได้ยุติลงแล้ว หลังจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา

เท้าความก่อนว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลทาจิกิสถานได้รายงานว่าตำรวจชายแดนของคีร์กีซสถานซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดบัตเกน (Batken Oblus) ทางใต้ของประเทศ ได้ทำการยิงปืนครกเข้าใส่ด่านตรวจชายแดนประจำตำบลโวรุกฮ์ (Vorukh Jamoat) จังหวัดซักฮัญ์ (Viloyati Sughd) ทางเหนือของทาจิกิสถาน ส่งผลให้ตำรวจชายแดนชาวทาจิกเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 5 นาย ซึ่งนำมาสู่การเจรจาหยุดยิงภายในวันที่ 15 ก.ย. แต่หนึ่งวันถัดมา วันที่ 16 ก.ย. กองทัพทาจิกิสถานได้เคลื่อนกำลังพลบางส่วนเข้าตีด่านชายแดนและหมู่บ้านตะเข็บชายแดนบริเวณพื้นที่พิพาทของคีร์กีซสถาน
 
ภาพประกอบ 1 แผนที่แสดงตำแหน่งของพื้นที่ที่เกิดการปะทะ (ลูกไฟสีดำ) ในระหว่างวันที่ 16 - 17 ก.ย. สีเขียวคือคีร์กีซสถาน สีเหลืองคือทาจิกิสถาน สีชมพูคืออุซเบกิสถาน

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

ทั้งนี้ รัฐบาลคีร์กีซสถานรายงานว่าผลจากการปะทะรอบใหม่ ส่งผลให้ชาวคีร์กีซเสียชีวิตทั้งหมด 36 ราย และทำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต่อการปะทะจำนวนกว่า 140,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ขณะที่รัฐบาลทาจิกิสถานนั้นไม่ได้รายงานว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตเท่าใด แต่จากรายงานคาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 30-39 ราย 

มีเรื่องน่าสนใจอยู่ว่าในวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้าจะเกิดการปะทะตามแนวชายแดนขึ้น รัฐบาลคีร์กีซสถานพึ่งทำการเซ็นสัญญาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาเส้นทางรถไฟร่วมกับอุซเบกิสถาน เพื่อนบ้านทางเหนือ และจีน เพื่อนบ้านทางตะวันออก ในชื่อโครงการว่า “เส้นทางรถไฟสายจีน-คีร์กีซสถาน-อุซเบกิสถาน” (China-Kyrgyzstan-Uzbekistan Railway) หรือ “เส้นทางรถไฟสายซีเคยู” (CKU Railway) โดยคาดว่าการศึกษาเบื้องต้นถึงความเป็นไปได้ของโครงการจะเสร็จสิ้นภายในกลางปีหน้า ซึ่งโครงการ “ซีเคยู” นั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยักษ์ใหญ่ “ข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง” หรือ BRI (Belt and Road Initiative) เพื่อการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

ภาพประกอบ 2 แผนที่แสดงเส้นทางของ “เส้นทางรถไฟสายซีเคยู”

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้ว แต่ยังคงมีรายงานการยิงปะทะกันด้วยปืนครกจากทั้งสองฝั่งอยู่แบบประปราย สถานการณ์การสู้รบในตอนนี้จึงยังไม่แน่นอนนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัสเซียกำลังอ่อนแอลงจากศึกในยูเครนและการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ทำให้ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงสงครามของอดีตรัฐบริวารทั้งสองได้ ในขณะที่จีนนั้นแม้จะพยายามเข้ามาอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมากขึ้น แต่กลับยังไม่แสดงบทบาทและท่าทีในด้านการทูตหรือภารกิจรักษาสันติภาพแต่อย่างใด ทำให้สถานการณ์ในเอเชียกลางตอนนี้ยังคงร้อนระอุ



ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[samuison]

มองภาพรวมอย่างนี้
ผมรู้สึกว่าเกาหลีใต้นี่แข็งแกร่งกว่าที่เราคิดกัน เพระาสามารถผลิตอาวุธของตนเองได้
โปแลนด์ยังซื้อจกาเกาหลีใต้

[sariora123]

ไม่เกียว กับมู้ แต่ ขอถามในนี้แล้วกันว่า


มันจะมีผลขนาดไหนครับ หากว่า ผู้บัญชาการ นั้นสามารถมอบคำสั่งหรือหน้าที่ต่างๆ
ให้กับทหาร ได้แบบ ในเกม RTS


คือเห็นหมวกแว่น AR ของอเมริกา แล้วสงสัย

[samuison]

เท่าที่จำได้ตอนยิงบินลาเดน โอบาม่าก็ดูจากกล้องนี่ครับ?

[sariora123]

เท่าที่จำได้ตอนยิงบินลาเดน โอบาม่าก็ดูจากกล้องนี่ครับ?

อันนั้นส่งภาพ กลับไปที่ฐานครับ คือหมวกแว่น ARที่ อเมริกาทำมาตอนี้คือ
1 ในฟังชั่นของมันที่บอกมาคือ มันสามารถแสดง คำสั่งเป็นภาพเด้งลอยขึ้นมาให้คนสวมแว่นเห็น
รู้สึกว่าจะมีระบบดาต้าลิ้งด้วยล่ะมั้ง
ผมเลยสงสัยไงครับว่าหากเราสามารถ มองควบคุมการสั่งการได้แบบ
เกมRST ใันจะมีผลขนาดไหน


ไม่แน่ใจว่ามันจะมีฟังชั่นช่วยยิงด้วยไหม ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมี
ผมเลยสงสัย ไงครับ

[PeanutButter]

อัพเดตข่าวสงครามยูเครน วันที่ 208 ของสงคราม

1. ทางด้านสหภาพยุโรปได้เริ่มการเคลื่อนไหวต่อฮังการีอย่างเป็นทางการ หลังจากเมื่อวานนี้ ทางคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) นำโดยนายโยฮันเนส ฮาน (Johannes Hahn) กรรมาธิการยุโรปด้านงบประมาณและการบริหาร ได้เสนอให้สหภาพยุโรปทำการตัดงบประมาณสนับสนุนฮังการีลงจำนวน 7,500 ล้านยูโร (276,600 ล้านบาท) เพื่อเป็นการตอบโต้ท่าทีของรัฐบาลฮังการีที่ไม่ยินยอมดำเนินการปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป

สำหรับงบประมาณสนับสนุนฮังการีที่ถูกตัดนั้น เป็นงบประมาณจำนวน 65% ของโครงการสนับสนุนฮังการีนำโดยสหภาพยุโรป จำนวน 3 โครงการ และงบประมาณจากกองทุนเพื่อความเชื่อมโยงแห่งสหภาพยุโรป (EU Cohesion Fund) อีกจำนวน 1 ใน 3

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของคณะกรรมาธิการยุโรปไม่ได้หมายความว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เนื่องจากอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่คณะมนตรียุโรป (European Council) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากชาติสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมด โดยคณะมนตรียุโรปจะมีระยะเวลาทั้งหมด 1 เดือนในการตัดสินใจต่อข้อเสนอแนะของทางคณะกรรมาธิการ และหากว่าทางคณะมนตรียุโรปลงมติอนุมัติแผนการ ฮังการีจะยังได้รับเวลาอีก 1 เดือนในการตอบรับต่อทางสหภาพยุโรป เช่นการยื่นข้อเสนอผ่อนปรนด้วยการปฏิรูปภายในประเทศ หรือการขอเลื่อนระยะเวลาพิจารณา ทำให้อย่างเร็วที่สุดในกรณีข้อเสนอผ่านการรับรอง จะต้องรอระยะเวลาอย่างน้อยไปจนถึงวันที่ 19 พ.ย. ก่อนจะมีการประกาศบังคับใช้แผนงานอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ เนื่องด้วยการลงมติในประเด็นเรื่องงบประมาณภายในคณะมนตรียุโรปนั้นจะไม่ใช้ระบบการออกเสียงแบบมติเอกฉันท์ (Unanimity Vote) แต่ใช้ระบบการออกเสียงข้างมากพิเศษ (Qualified Majority) นั่นคือข้อเสนอจะผ่านหากว่าเสียงข้างมากผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

1.1 เสียงข้างมากประกอบไปด้วยรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปจำนวน 55% ของสมาชิกในปัจจุบัน (ปัจจุบันสหภาพยุโรปมีสมาชิกจำนวน 27 ประเทศ ฉะนั้น 55% เท่ากับว่าจะต้องมีอย่างน้อย 15 ประเทศที่ลงมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว)
1.2 เสียงข้างมากประกอบไปด้วยรัฐสมาชิกที่มีจำนวนประชากรรวมกันคิดเป็น 65% ของจำนวนประชากรในสหภาพยุโรปทั้งหมด (ปัจจุบันสหภาพยุโรปมีประชากร 447 ล้านคน ฉะนั้นประชากรจำนวน 65% เท่ากับว่าเสียงข้างมากจะต้องมีประชากรรวมกันมากกว่า 290.5 ล้านคน)

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะจบลงด้วยการเจรจาประนีประนอมระหว่างสหภาพยุโรปกับฮังการี เนื่องด้วยกระบวนการในการตัดงบประมาณชาติสมาชิกนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่สหภาพยุโรปไม่เคยทำมาก่อน ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ชาติสมาชิกอื่นๆ อาจยังไม่พร้อมที่จะแสดงท่าทีสนับสนุนต่อการใช้กระบวนการดังกล่าวภายในสหภาพ และเป็นไปได้ที่ฮังการีอาจพยายามประนีประนอมโดยการสัญญาจะดำเนินการปฏิรูปประเทศให้แก่คณะกรรมาธิการและคณะมนตรียุโรป แม้ว่าฮังการีอาจไม่ได้ต้องการปฏิรูปอย่างจริงใจก็ตาม


2. ความเคลื่อนไหวภายในภูมิภาคเอเชียกลางดูจะน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทางรัฐบาลตุรกีและอิหร่านได้ประกาศจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้หรือ SCO (Shanghai Cooperation Organisation)

ในวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลอิหร่านได้ทำการเซ็นบันทึกข้อผูกพัน (Memorandum of Obligation) กับทางองค์กร SCO เพื่อแสดงเจตจำนงต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กร โดยในปัจจุบันอิหร่านมีสถานะเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ (Observer State) ขององค์กร ไม่ใช่สมาชิกเต็มตัว แน่นอนว่าเป้าหมายของอิหร่านคือการเชื่อมความสัมพันธ์กับจีน ผู้ริเริ่มก่อตั้ง SCO ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

ต่อมาในวันที่ 16 ก.ย. รัฐบาลตุรกีจึงได้แถลงการณ์ประกาศจะเข้าเป็นสมาชิกรายใหม่ของ SCO ตามหลังอิหร่านเพียงหนึ่งวัน โดยในปัจจุบันตุรกีมีสถานะเป็นเพียงคู่เจรจา (Dialogue Partner) ขององค์กร หากว่าตุรกีได้เข้าเป็นสมาชิกของ SCO จริงจะเท่ากับว่าตุรกีจะเป็นชาติสมาชิกขององค์การนาโต้รายแรกที่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม SCO แสดงให้เห็นถึงนโยบายการทูตของตุรกีที่มุ่งเน้นการวางตัวเป็นกลางเข้าหาทุกฝ่าย


3. เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา กองทหารยูเครนจำนวน 250 นาย สังกัดกองกำลังรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ ได้เสร็จสิ้นภารกิจการรักษาสันติภาพในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในทวีปแอฟริกาแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับประเทศยูเครน

กองกำลังทหารของยูเครนจำนวน 250 นาย พร้อมด้วยฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ Mi-8 และ Mi-24 อีก 8 ลำ เป็นส่วนหนึ่งของ “โมนุสโก” (MONUSCO) หรือ “ภารกิจรักษาความมั่นคงภายในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกขององค์การสหประชาชาติ” (United Nations Organization Stabilization Mission in the Democratic Republic of the Congo) ซึ่งเดิมทีรัฐบาลยูเครนได้ประกาศถอนกำลังดังกล่าวกลับประเทศตั้งแค่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เนื่องจากว่าฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ของยูเครนจำนวน 8 ลำนั้น คิดเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทำให้ชาติอื่นๆ พยายามเจรจาให้ยูเครนยังคงกำลังทหารกลุ่มดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะสามารถมองหาฝูงบินใหม่มาทำหน้าที่ทดแทนได้



ที่มา:

สปอยส์ ซ่อน ซ่อน:

[toonla]

สงสัยอย่างนึง ตอนนี้จีนนี่ถือว่าทิ้งยูเครนเข้ากับรัสเซียแบบถาวรไปยังนะ เพราะก่อนหน้าจำได้ว่าจีนลงทุนกับยูเครนค่อนข้างเยอะเนื่องจากเป็นทางด่านสำหรับเชื่อมB&Rเข้ากับยุโรป ถ้าจะสนับสนุนรัสเซียระดับประชาคมโลกยังนึกไม่ออกว่าจะให้ยูเครนมองจีนในแง่ดียังไง

[sariora123]

สงสัยอย่างนึง ตอนนี้จีนนี่ถือว่าทิ้งยูเครนเข้ากับรัสเซียแบบถาวรไปยังนะ เพราะก่อนหน้าจำได้ว่าจีนลงทุนกับยูเครนค่อนข้างเยอะเนื่องจากเป็นทางด่านสำหรับเชื่อมB&Rเข้ากับยุโรป ถ้าจะสนับสนุนรัสเซียระดับประชาคมโลกยังนึกไม่ออกว่าจะให้ยูเครนมองจีนในแง่ดียังไง

เรื่องยูเครน คือจะด่า อเมริกาก็ด่าได้ไม่เต็มปาก เพราะ ตัวเองลงทุนในยูเครน +ซื้อเทคโนมาเยอะ และน่าจะซื้ออีกเรื่อยๆ  และจะช่วยรัสเซียก็ไม่ช่วยจริงๆ จังๆ


คือด้านการทหารนี่ไม่ช่วยอะไรเลย ส่วนด้านเศรษฐกิจช่วยซื้อบ้าง แต่ในด้านการเงิน
จีน ช่วยเรื่องระบบโอนเงินนิดหน่อย คือนิดๆ จริง ตินแรกว่าจะเข้าไปวางระบบการเงินโอนไปมาให้ ตอนหลังเลิก คือกลัวโดนแบนไปด้วนกันกับรัสเซีย

และจีนเคยด่าคนอื่นไว้ว่า จีนไม่เคยหนุนการแยกดินแดนในประเทศใด ใครก็อย่ามายุให้ไต้หวันแยกจากจีน  สรุปด้านนั้นกลับมาบาดตัวเอง ถ้าหนุนรัสเซีย ก็จะโดนเองทีหลัง บ่นไม่ได้




แถมภ่ยหลังมีข่าวมาว่า เพราะรัสเซียกับยุโรปแบนกันไปจีนก็เข้าไปเสียบขายบางอย่างที่รัสเซียเคยขายๆ ให้ยุโรป 


ท่าน pol  ถึงได้บ่นๆ ว่าจีนเป็น มหามิตรมิด(ด้าม)

[sariora123]

ย้ายฟากมา เอเชีย รู้สึกมีข่าวมาบ่ะว่าปู่โเตือนล่ะว่า อย่าแหยม ไต้หวัน ไม่งั้นจะส่งกำลังมาแน่ๆ


ในกรณี จีน ส่วนตัวผมมองว่า อาจมีปัญหาทางการเมืองน้อยกว่าทางยูเครน
กระแสเกรียดจีนนี้ปีก่อนๆ


ปัญกาคือ มีสงครามกัน สินค้าหลายรายการจะขาดตลาดแน่ๆ