อัพเดตข่าวยูเครน วันที่ 183 ของสงคราม Part 23. อัพเดตเพิ่มเติมด้านสถานการณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริสเซีย (Zaporizhzhia Nuclear Power Plant) ในจังหวัดซาโปริสเซีย (Zaporizhzhia Oblast) ทางใต้ของยูเครนซึ่งตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพรัสเซียตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานการยิงปืนใหญ่ใส่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริสเซียหลายต่อหลายครั้ง และแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด แต่จากหลักฐานเบื้องต้นส่วนใหญ่ชี้ว่ารัสเซียน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุการยิงปืนใหญ่ใส่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ล่าสุดเมื่อวานนี้ นายเปโตร โคติน (Petro Kotin) ประธานบริษัท “เอเนอร์โกอะตอม” (Energoatom) รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานนิวเคลียร์ของยูเครน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าว “เดอะการ์เดี้ยน” (The Guardian) เรื่องความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริสเซีย ว่ากองทัพรัสเซียได้เตรียมแผนการที่จะทำลายโครงข่ายการเชื่อมต่อระหว่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริสเซียกับส่วนควบคุมกลางภายใต้การดูแลของฝ่ายยูเครน ซึ่งในปัจจุบันรัสเซียประสบความสำเร็จในการทำลายเส้นโครงข่ายหลัก 4 เส้น และเส้นโครงข่ายสำรอง 2 เส้น จากทั้งหมด 3 เส้น และในตอนนี้เจ้าหน้าที่จากบริษัท “รอสอะตอม” (State Atomic Energy Corporation Rosatom) รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย กำลังดำเนินการเชื่อมต่อระบบการทำงานและการจ่ายไฟของโรงไฟฟ้าเข้ากับศูนย์ควบคุมในภายใต้การดูแลของรัสเซียแทน
นายโคตินยังกล่าวเตือนว่าหากเกิดเหตุผิดพลาดทำให้ยูเครนสูญเสียการควบคุมภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และหากเครื่องปั่นไฟภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หยุดการทำงาน จะสร้างความเสี่ยงทำให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เริ่มหลอมละลายจากความร้อนภายใน และอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมาได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายโคตินออกมากล่าวเช่นนี้ นายโคตินเคยกล่าวในลักษณะเดียวกันระหว่างแถลงข่าวถ่ายทอดสดก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นายโคตินกล่าวว่าในตอนนี้ ทางทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA (International Atomic Energy Agency) กำลังทำการเจรจากับทั้งฝ่ายรัสเซียและยูเครน เพื่อเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริสเซีย ซึ่งนายโคตินเชื่อว่าน่าจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
4. เมื่อวานนี้ผมรายงานไปว่าทางสหราชอาณาจักรและนอร์เวย์ได้ประกาศเตรียมการส่งมอบโดรนสำรวจขนาดจิ๋ว Black Hornet ให้แก่ยูเครน รวมมูลค่าทั้งหมด 90 ล้านโครน (9,260,000 ดอลลาร์สหรัฐ / 330 ล้านบาท) โดยสหราชอาณาจักรเป็นผู้ออกเงินโครงการ ขณะที่นอร์เวย์จะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการผลิตโดรน การจัดหาอะไหล่สำรอง การฝึกฝน และค่าขนส่งทั้งหมด ในตอนนี้มีข่าวเพิ่มเติมเรื่องดังกล่าวออกมาแล้วจากทางรัฐบาลสหราชอาณาจักร
นายบอริส จอห์นสัน รักษาการนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ได้ทำการเดินทางเยือนกรุงเคียฟของยูเครนเป็นครั้งที่สามเมื่อวานนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 31 ปี วันประกาศอิสรภาพยูเครน (Independence Day of Ukraine) พร้อมกันนั้น รักษาการนายกฯ จอห์นสันได้ประกาศแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารชุดใหม่จากสหราชอาณาจักรให้แก่ยูเครน คิดเป็นมูลค่ากว่า 54 ล้านปอนด์ (2,300 ล้านบาท) สำหรับแพ็กเกจความช่วยเหลือชุดนี้จะประกอบไปด้วยโดรนจำนวน 2,000 ลำ ซึ่งรวมถึงโดรนลาดตระเวนขนาดจิ๋ว Black Hornet จำนวน 850 ลำ และระเบิดบินวน (Loitering Munitions) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโดรนกามิกาเซ (Kamikaze Drone) ไม่เปิดเผยรุ่นอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับภารกิจต่อต้านรถถัง
โดรน Black Hornet นั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท “เทเลไดน์” (Teledyne FLIR LLC) จากนอร์เวย์ ปัจจุบันมีใช้งานทั้งหมด 2 รุ่น คือรุ่น Black Hornet VRS สำหรับใช้งานร่วมกับยานพาหนะภาคพื้นดิน และรุ่น Black Hornet PRS สำหรับใช้งานโดยทหารราบภาคพื้น ซึ่งตามข่าวที่ประกาศออกมาไม่ได้ระบุแน่ชัดว่ารุ่นที่จะทำการส่งมอบให้ยูเครนนั้นเป็นรุ่นใด
สำหรับรักษาการนายกฯ จอห์นสัน การเดินทางเยือนยูเครนในครั้งนี้จะเป็นการเดินทางเยือนยูเครนครั้งสุดท้ายในฐานะนายกรัฐมนตรีจากสหราชอาณาจักร เนื่องจากคาดการณ์ว่าภายในเดือนหน้า จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาแทนที่นายจอห์นสัน
5. สำหรับสถานการณ์ด้านก๊าซธรรมชาติ สำนักข่าว “นิคเคอิ เอเชีย” (Nikkei Asia) จากญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศจีน ทำให้ปริมาณอุปสงค์ด้านพลังงานของจีนลดต่ำลงตามไปมาก จนทำให้บริษัทนำเข้าพลังงานของจีนหลายเจ้าทำการส่งออกก๊าซเหลว (LNG) ส่วนเกินความต้องการในประเทศแทน
บริษัทด้านพลังงานของจีนหลายเจ้า เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาคือ “โจโวกรุ๊ป” (JOVO Group Co., Ltd.) และ “ซิโนเปก” (China Petrochemical Corporation) ได้ทำการส่งออก LNG ส่วนเกินความต้องการในประเทศออกสู่ตลาดโลก คิดเป็นปริมาณจนถึงปัจจุบันอย่างน้อย 4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าได้หลายสิบจนถึงหลักร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัท “ซิโนเปก” เพียงเจ้าเดียว ได้ทำการส่งออก LNG ส่วนเกินออกสู่ตลาดโลกไปแล้วประมาณ 3,150,000 ตัน
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้มีสาเหตุหลัก 2 ข้อ 1) ปริมาณอุปสงค์ด้านพลังงานในประเทศจีนลดลงเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ 2) ปริมาณอุปทานด้านพลังงานในประเทศจีนเพิ่มขึ้น เนื่องจากนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของรัฐบาลจีน โดยในส่วนของการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศนั้นเชื่อว่าจะเติบโตมากกว่า 7% ภายในปีนี้ ตามการคาดการณ์ของบริษัท “เซียเอเนอร์จี” (Sia Energy) ที่ปรึกษาด้านตลาดพลังงานในประเทศจีน ซึ่งจะสวนทางกับปริมาณการนำเข้า LNG จากต่างประเทศซึ่ง “เซียเอเนอร์จี” คาดการณ์ว่าจะลดน้อยลงถึง 20% ภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี ทาง “นิคเคอิ เอเชีย” ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการหันมาส่งออก LNG ของจีนนั้น จะส่งผลอย่างไรบ้างต่อสหภาพยุโรป ซึ่งในตอนนี้กำลังมีความต้องการนำเข้า LNG อย่างสูง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังมาถึง
สำหรับสถานการณ์ด้านก๊าซธรรมชาติในยุโรป ตอนนี้ประเทศต่างๆ กำลังเตรียมการสำรองก๊าซธรรมชาติของตนเป็นการใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการขาดแคลนพลังงานที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ เนื่องจากความกลัวว่ารัสเซียจะยุติการส่งก๊าซธรรมชาติให้ยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในปัจจุบัน ข้อมูลล่าสุดจากวันที่ 23 ส.ค. เยอรมนีสามารถทำการสำรองก๊าซธรรมชาติได้ประมาณ 81% ฝรั่งเศส 90% อิตาลี 80% โปแลนด์ 99% โดยประเทศที่มีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองน้อยที่สุดในตอนนี้คือลัตเวียที่ 55% รองลงมาคือบัลแกเรียที่ 59%
ท่านสามารถเข้าตรวจสอบข้อมูลปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศต่างๆ ในยุโรปได้ที่นี่ ->
https://agsi.gie.eu/ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เยอรมนีจะสามารถทำการสำรองก๊าซธรรมชาติได้ถึงเป้าที่ 90% ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ก็ได้กล่าวเตือนว่าปริมาณดังกล่าวยังอาจไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ โดยนายมาร์เซล ฟราตซ์เชอร์ (Marcel Fratzscher) ประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเยอรมนี (German Institute for Economic Research) กล่าวว่าอาจเป็นไปได้ที่เยอรมนีจะรอดพ้นวิกฤติขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในฤดูหนาวปีนี้ แต่อาจประสบกับปัญหาการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแทนได้เช่นกัน
ที่มา: