ด้านแนวรบในเคอร์สัน (Kherson) ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ฝ่ายยูเครนได้เปิดปฏิบัติการรุกเพื่อปลดปล่อยจังหวัดเคอร์สัน (Kherson Oblast) ทั้งหมดจากฝ่ายรัสเซีย จนถึงตอนนี้ต้องบอกว่าการรุกของฝ่ายยูเครนเองก็แทบจะหยุดชะงัก ไม่ต่างจากฝ่ายรัสเซีย จนตอนนี้ยูเครนตัดสินใจใช้แผนใหม่ นั่นคือการเปิดฉากการรุกตลอดทั้งแนวรบยาวหลายสิบกิโลเมตร ต่างจากช่วงแรกที่เน้นทำการเข้าตีเฉพาะจุดที่มีแนวป้องกันอ่อนแอ ฉะนั้นยังต้องตามดูกันต่อไปว่าด้วยแผนการรุกใหม่ จะทำให้แนวรบในเคอร์สันสามารถคืบหน้าไปได้อย่างที่ยูเครนหวังหรือไม่

สำหรับสาเหตุว่าทำไมการรุกของยูเครนถึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่มีปัจจัยหลายอย่างเป็นต่อ เช่นทหารรัสเซียในพื้นที่ส่วนมากเป็นทหารราบเบา ขาดแคลนยานเกราะหนักและรถถังรุ่นใหม่ (มีรายงานว่าทัพรัสเซียในเคอร์สันต้องใช้รถถังรุ่นเก่าแบบ T-62 สู้กับยูเครน เนื่องจากรถถังรุ่นใหม่ถูกส่งไปดอนบาสหมดแล้ว) อีกทั้งยูเครนยังได้เปรียบเรื่องจำนวนทหารที่มากกว่า (ไม่มีข้อมูลแน่ชัดเรื่องจำนวนทหารในพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย แต่ประมาณการว่ายูเครนมีทหารในพื้นที่เคอร์สันมากกว่ารัสเซียประมาณ 3:1) โดยสาเหตุหลักที่นักวิเคราะห์คาดการณ์คือ
1. ทหารใหม่ บรรดาทหารจำนวนมากของฝ่ายยูเครนในการรุกที่เคอร์สันเป็นทหารหน้าใหม่ที่มาจากการระดมพลกำลังสำรอง และพึ่งเสร็จการฝึกซ้อมตลอดช่วง 2-3 เดือนแรกของสงคราม ทำให้ทหารจำนวนมากยังขาดประสบการณ์จริง
2. สงวนกำลัง ฝ่ายยูเครนมีหลักการรบแบบสงวนกำลัง ไม่เน้นการทุ่มกำลังพลในการเข้าตี เน้นใช้กำลังทหารขนาดพอประมาณเข้าตีเฉพาะจุดเล็กๆ แล้วอาศัยการขยายผลจากจุดเล็กๆ ดังกล่าวในการระดมโจมตีฝ่ายรัสเซียเรื่อยๆ
3. แนวตั้งรับ ฝ่ายรัสเซียยึดครองพื้นที่ในเคอร์สันได้ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกๆ ของสงคราม ทำให้รัสเซียมีเวลาในการวางแนวป้องกันเมืองอย่างเต็มที่ การวางแนวป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ทหารฝ่ายป้องกันที่น้อยกว่าทั้งอาวุธและปริมาณ สามารถตั้งยันการรุกของฝ่ายบุกได้ เฉกเช่นเดียวกับที่ฝ่ายยูเครนสามารถใช้จำนวนน้อยยันทัพรัสเซียที่มีมากกว่าในดอนบาสได้
4. สะพาน ในวันแรกของการเข้าตีเคอร์สัน ยูเครนใช้การยกทัพเข้าตีอย่างรวดเร็วเพื่อยึดสะพานข้ามแม่น้ำอินฮูเล็ตส์ (Inhulets River) ทำให้ช่วงแรกสามารถยกกำลังทลายแนวป้องกันฝ่ายรัสเซียได้รวดเร็ว แต่รัสเซียตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธทำลายสะพานเสีย ทำให้การเคลื่อนทัพและการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายยูเครนเกิดปัญหา