[quote/]แล้วกรณีที่ตำรวจยืนเฉยๆรอดูสถานการณ์จนกว่าผู้เชี่ยวชาญเข้ามา แล้วคนร้ายเกิดคลั่งหนักฆ่าตัวประกันไปก่อนผู้เชี่ยวชาญจะมาล่ะ?ไอ้กรณีแบบนี้มันเป็นเรื่องวับซ้อนนะจะลงมือเลยก็ไม่ได้รอเฉยๆก็ไม่ได้เหมือนกัน
เอาจริงๆ พอถึง ณ จุดนั้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีสิทธิ์ตัดสินใจได้ทันทีครับ ว่าจะลงมือหรือจะพยายามต่อ
ต่อให้เจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุไม่กล้าลงมือทำอะไรจนเกิดเรื่องขึ้น มันก็คือเกิดคดีโศกนาศกรรมขึ้น คนรับผิดชอบก็คือเจ้าหน้าที่เอง
ต่อให้เกิดเรื่องเศร้าก็มีแต่ต้องจำทนเท่านั้น เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แล้วทะลึ่งไปตัดสินใจเอาเองจนเกิดเรื่องเศร้าสลดขึ้น
มันจะถูกคำถามย้อนกลับมาน่ะ ว่าคุณจะกล้ายอมรับความผิดพลาดนั้นมั๊ย แทนคำแก้ตัวที่ว่า เจ้าหน้าที่ชักช้า หรือเจ้าหน้าที่ไม่ได้เรื่องน่ะ
ไม่ได้จะบอกว่าฝ่ายไหนผิดหรือฝ่ายไหนถูก แต่ต้องการจะบอกว่า บนสังคมที่มีกฏระเบียบวางไว้
จะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงสิทธิที่สามารถกระทำได้ ตามหน้าที่ที่ตนเองมีอยู่ ไม่ใช่ก้าวก่ายสิทธิหน้าที่ของผู้อื่น
เพียงเพราะข้องอ้างที่ว่า "ฉันเก่ง ฉันทำได้" หรือ "ฉันรู้ ฉันเรียนมา"
แต่ในกรณีคับขัน อันนี้ก็ถึงจะเป็นข้อยกเว้น เพียงแต่การข้ามสิทธิ์นั้น จะต้องมีการแสดงตนให้ชัดเจนก่อน
ไม่ใช่พราดพราดทำอะไรตามใจตน ... แบบนั้นมันไม่ต่างกับอันธพาลที่หลงตัวเองอ่ะนะ
(ประเทศแถวๆ นี้ลืมเรื่องวิธีการพวกนี้ไปแล้ว เพราะชอบเบ่งเกินสิทธิ์ จนเป็นปัญหาสังคมที่แก้ไม่ได้ไปแล้ว)
ดังนั้นในกรณีที่ยังไม่รู้สาเหตุชัดเจน ผมไม่กล้าไปด่าไอ้หัวหน้ารักษาการณ์ที่จับคุณยายหรอกว่ามันเป็นพวกขี้อิจฉาน่ะ
เพราะสิ่งที่มันทำนั้นเป็นเรื่องถูกต้องเช่นกัน (อาจจะถูกกว่าที่คุณยายทำได้) ... เพียงแต่ว่าไอ้เจ้าหัวหน้าหนุ่มนั่นมันไม่ยืดหยุ่นเลย
โคตรแข็งโป๊กและตรงแด่ว ... ปกติควรจะสอบปากคำแล้วจบตักเตือน ...แต่นี่จับยัดคุกเฉยเลยแล้วถึงค่อยสอบปากคำ
อ้อ ... เหตุการณ์ตอน 4 ต่างจากเหตุการณ์วิ่งราวในตอน 2
ในตอน 2 คุณยายไม่ผิดอะไร เพราะตอนนั้นถือว่าคับขันแล้ว เนื่องจากเกิดความเสียหายแล้วและเหตุการณ์กำลังจะบานปลาย
เนื่องจากผู้ก่อเหตุกำลังจะหนีออกจากที่เกิดเหตุ ... ดังนั้นหากยับยั้งได้ก็ควรจะรีบยับยั้ง ณ ตอนนั้นทันที
ที่สำคัญ ผมเชื่อว่า 9 ใน 10 ลืมความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าการพูดคุยเกลี้ยกล่อมไปหมดแล้ว
