ถ้าจะแก้ปัญหา แก้ระบบสำคัญกว่าบุคคล

[Black7nos]

[quote/][quote/]


ถามหน่อยครับสายเทคนิคนี่คือพวกอ่านกราฟแท่งเทียนใช่ไหมครับ และคนลงทุนส่วนใหญ่เค้าใช้สายอ่านกราฟหรือสายอ่านงบการเงินครับ

สายอ่านงบการเงินครับ ผมเป็นสายเล่นระยะกลาง+ยาว (กลาง 3-5 ปี ยาวคือ 5+ ปีขึ้นไป)


แต่จะอ่านกราฟเฉพาะจังหวะจะช้อนซื้อมาเก็บครับ ซื้ออย่างไรให้ถูกและได้จำนวนหุ้นเยอะที่สุด จำนวนหุ้นเยอะก็กินปันผลเยอะตาม


ถ้าเล่นระยะสั้นจะเน้นเทคนิคการดูกราฟขึ้น-ลงเป็นหลักเพื่อ Forecast ไปข้างหน้าในระยะเวลาสั้นๆ(ผมมองว่าไม่เกิน 1 เดือน)


ที่ผมไม่อยากเล่นระยะสั้น เพราะ ขี้เกียจมานั่งดูกราฟวันต่อวัน ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น ต้องทำงานหลักไปด้วย ผมเลยไม่เหมาะเล่นระยะสั้น


ถ้าเล่นกลาง + ยาว แบบผม ผมพอจะแนะนำได้ แต่ถ้าเล่นระยะสั้นผมคงแนะนำไม่ได้
1.อ่านงบการเงิน เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน
2.อ่านและฟังข่าวเศรษฐกิจ แนะนำให้ฟังข่าวต่างๆประเทศโดยเฉพาะอเมริกาเอาไว้ เพราะมันมีผลต่อแนวโน้มธุรกิจเป็นประเภทๆ
3.เปรียบเทียบธุรกิจที่อยู่ในหมวดเดียวกันและมีความคล้ายกันในการดำเนินกิจการ
4.จำไว้ว่าสำหรับสายกลาง+ยาว วิกฤติของคนอื่นคือโอกาสของเราที่จะช้อนซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีในราคาต่ำ

[deaddy]

[quote/]


คือถ้า TIDLOR ขึ้น ยังไงก็ฉุด SAWAD ขึ้นตามครับ เพราะ มันธุรกิจประเภทเดียวกัน และผลตอบแทนด้านกำไรของ SAWAD มันสูงกว่า เนื่องจากแบกภาระค่าใช้จ่ายน้อยกว่า TIDLOR


ผมมอง 2 กรณีนะตอนนี้


กรณี 1 TIDLOR ขึ้น ก็จะฉุด SAWAD ขึ้นตาม จนกระทั่ง P/E จะอิ่มตัวใกล้เคียงกัน


กรณี 2 TIDLOR จะราคาตกลงไปจน P/E ใกล้เคียงกับ SAWAD เพราะตั้งราคาจองในตอนแรกสูงเกินไปมากกว่าผลตอบแทนเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกัน


ซึ่งมันเป็นไปได้ทั้ง 2 กรณี


ดังนั้นถ้าเล่น SAWAD ยังไงก็มีแต่ได้ ไม่มีเสียครับ

งบทางการเงินคืออดีต ส่วนนักลงทุนจะซื้ออนาคตครับ
ผมกล้าพูดได้เลย หุ้น 100 อันดับแรก ถูกประเมินรายได้ยันปีหน้าหมดแล้วครับ


เพราะงั้น ส่วนใหญ่หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 8 ส่วนใหญ่คืออนาคตห่วย
ส่วน pe50+ คือหุ้นที่อนาคตดีมาก


แต่ถ้า pe  เป็น 100-1000+  แน่นอนว่าอนาคตน่าจะดีกว่า pe 8
ยกเว้นกรณีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี


ส่วนการเติบโตที่จะเกิดขึ้นจรืง
pe ที่เหมาะสม กับที่เป็นปัจจุบัน
มันเป็นการต่อสู้ของนักลงทุนกันเอง


อย่าง sawad เป็นหุ้นที่ถูกกว่า แต่มันคืออดีต
อนาคต tidlor ได้ตังมาก็จะเอาไปพัฒนา
ซึ่งคงไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน แต่ความเห็นต่ออนาคตบริษัท จะสะท้อนมาที่ราคา


เพราะงั้นถ้าวัดกันที่ผลงานเดิม tidlor แพงแน่นอน
แต่ติดล้อกำลังจะซื้อรถใหม่แทนรถเก่า ทำให้วิ่งไวขึ้น


ในขณะที่ sawad คือรถคันเดิม


เพราะงั้นผมคาดเดาว่าติดล้อกำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แต่มันจะดีกว่า sawad ไหมคงตอบไม่ได้


แต่ราคาผมเดาว่าจะมีช่วงที่วิ่งเกิน 40 บาทแน่นอน
ในเวลาไม่น่าจะนาน
แต่จะตกลงไปก่อนแค่ไหนไม่รู้


แต่ผมกล้าพูดได้เลยอีก 5 ปีพอพูดถึง ติดล้อมีคนพูดรู้งี้แน่นอน

[Black7nos]

[quote/]


งบทางการเงินคืออดีต ส่วนนักลงทุนจะซื้ออนาคตครับ
ผมกล้าพูดได้เลย หุ้น 100 อันดับแรก ถูกประเมินรายได้ยันปีหน้าหมดแล้วครับ


เพราะงั้น ส่วนใหญ่หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 8 ส่วนใหญ่คืออนาคตห่วย
ส่วน pe50+ คือหุ้นที่อนาคตดีมาก


แต่ถ้า pe  เป็น 100-1000+  แน่นอนว่าอนาคตน่าจะดีกว่า pe 8
ยกเว้นกรณีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี


ส่วนการเติบโตที่จะเกิดขึ้นจรืง
pe ที่เหมาะสม กับที่เป็นปัจจุบัน
มันเป็นการต่อสู้ของนักลงทุนกันเอง


อย่าง sawad เป็นหุ้นที่ถูกกว่า แต่มันคืออดีต
อนาคต tidlor ได้ตังมาก็จะเอาไปพัฒนา
ซึ่งคงไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน แต่ความเห็นต่ออนาคตบริษัท จะสะท้อนมาที่ราคา


เพราะงั้นถ้าวัดกันที่ผลงานเดิม tidlor แพงแน่นอน
แต่ติดล้อกำลังจะซื้อรถใหม่แทนรถเก่า ทำให้วิ่งไวขึ้น


ในขณะที่ sawad คือรถคันเดิม


เพราะงั้นผมคาดเดาว่าติดล้อกำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แต่มันจะดีกว่า sawad ไหมคงตอบไม่ได้


แต่ราคาผมเดาว่าจะมีช่วงที่วิ่งเกิน 40 บาทแน่นอน
ในเวลาไม่น่าจะนาน
แต่จะตกลงไปก่อนแค่ไหนไม่รู้


แต่ผมกล้าพูดได้เลยอีก 5 ปีพอพูดถึง ติดล้อมีคนพูดรู้งี้แน่นอน

แต่ผมกลับมองต่างออกไปนะครับ TIDLOR จำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งให้ได้เสียก่อน คือ การบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย


TIDLOR ต้องการระดมทุนเพื่อเปิดสาขาเพิ่ม 500 สาขา ดังนั้นถูกต้องแล้วที่รายได้เพิ่ม


แต่ก็อย่าลืมว่ารายจ่ายอันเป็นต้นทุนเกิดจาก (Direct และ Indirect ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน)


การเปิดสาขาใหม่แน่นอนว่าได้ลูกค้าเพิ่ม แต่ก็ต้องจ่ายค่าจ้างพนักงานเพิ่ม ค่าเสื่อมของอุปกรณ์สำนักงาน+ค่าเสื่อมอาคารสถานที่


ดังนั้นปัจจัยของ TIDLOR คือการจะต้องทำให้สัดส่วนรายได้/รายจ่ายลดลงเป็น Priority อันดับแรกที่ควรทำ


เพื่อให้ผลกำไรมากขึ้น เมื่อผลกำไรมากขึ้น %เงินปันผลก็จะมากขึ้นตาม ก็จะทำให้ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น เนื่องจากผลกำไรจากการปันผล


อย่าลืมว่าการที่นักลงทุนใหญ่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติที่ถือหุ้นบุริมทรัพย์ผ่านบริษัทนอมินี เขาสนใจปันผลมากนะครับ ไม่ใช่แค่ราคาที่ขึ้นเพียงอย่างเดียว

[ricca chan]

@Black7nos


ขอถามหน่อยครับเรื่องกองทุนคือว่าจากข่าวเกี่ยวกับกองทุนที่ผมได้รับมามันมีด้านลบเยอะพอสมควรเช่น ผู้บริหารกินเงินเดือนไม่ได้ได้เงินเดือนตามกำไรที่ทำให้กองทุนได้แบบต่างประเทศหรือปล่อยกู้ในกรณีที่ไม่ควรปล่อยจนเกิดหนี้เน่า ไปอุ้มกิจการต่่งๆเป็นต้นตกลงว่ากองทุนในไทยเป็นแบบนั้นจริงไหมครับพอดีผมคิดว่าถ้าแบบนั้นลงทุนเองไม่ดีกว่าเหรอ


และตรงในส่วนความรู้อย่างตามข่าว กับ อ่านงบการเงินพอแนะนำเว็บแหล่ง หนังสือ ที่ดีๆได้ไหมครับ




ปล.จริงๆผมพิมถามในเม้นบนแต่ทำไมคำถามผมมันไปรวมอยู่่ในโพสของคุณที่ผมโคว้ทมาตรงนี้งงแฮะ 

[deaddy]

[quote/]


แต่ผมกลับมองต่างออกไปนะครับ TIDLOR จำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งให้ได้เสียก่อน คือ การบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย


TIDLOR ต้องการระดมทุนเพื่อเปิดสาขาเพิ่ม 500 สาขา ดังนั้นถูกต้องแล้วที่รายได้เพิ่ม


แต่ก็อย่าลืมว่ารายจ่ายอันเป็นต้นทุนเกิดจาก (Direct และ Indirect ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน)


การเปิดสาขาใหม่แน่นอนว่าได้ลูกค้าเพิ่ม แต่ก็ต้องจ่ายค่าจ้างพนักงานเพิ่ม ค่าเสื่อมของอุปกรณ์สำนักงาน+ค่าเสื่อมอาคารสถานที่


ดังนั้นปัจจัยของ TIDLOR คือการจะต้องทำให้สัดส่วนรายได้/รายจ่ายลดลงเป็น Priority อันดับแรกที่ควรทำ


เพื่อให้ผลกำไรมากขึ้น เมื่อผลกำไรมากขึ้น %เงินปันผลก็จะมากขึ้นตาม ก็จะทำให้ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น เนื่องจากผลกำไรจากการปันผล


อย่าลืมว่าการที่นักลงทุนใหญ่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติที่ถือหุ้นบุริมทรัพย์ผ่านบริษัทนอมินี เขาสนใจปันผลมากนะครับ ไม่ใช่แค่ราคาที่ขึ้นเพียงอย่างเดียว

ปัญหาตรงนั้นผู้บริหารได้ชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขไว้แล้วครับ


ซึ่งอัตราส่วนกำไร ที่ติดล้อน้อยกว่าชาวบ้านอาจจะจริง
แต่มันก็หมายถึงศักยภาพที่ บ. สามารถพัฒนาต่อไปได้


เพราะงั้น บ.อาจจะกำไรลดลงในปีนี้ แต่หลังจากนั้นมันก็จะวิ่งฉิวได้สบายๆ


แต่ราคาจะไปล่วงหน้า หรือร่วงมารอ ยังไงสุดท้าย มันก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตไวมากๆในเช่วงหลังโควิดจบ

[Black7nos]

@Black7nos


ขอถามหน่อยครับเรื่องกองทุนคือว่าจากข่าวเกี่ยวกับกองทุนที่ผมได้รับมามันมีด้านลบเยอะพอสมควรเช่น ผู้บริหารกินเงินเดือนไม่ได้ได้เงินเดือนตามกำไรที่ทำให้กองทุนได้แบบต่างประเทศหรือปล่อยกู้ในกรณีที่ไม่ควรปล่อยจนเกิดหนี้เน่า ไปอุ้มกิจการต่่งๆเป็นต้นตกลงว่ากองทุนในไทยเป็นแบบนั้นจริงไหมครับพอดีผมคิดว่าถ้าแบบนั้นลงทุนเองไม่ดีกว่าเหรอ


และตรงในส่วนความรู้อย่างตามข่าว กับ อ่านงบการเงินพอแนะนำเว็บแหล่ง หนังสือ ที่ดีๆได้ไหมครับ




ปล.จริงๆผมพิมถามในเม้นบนแต่ทำไมคำถามผมมันไปรวมอยู่่ในโพสของคุณที่ผมโคว้ทมาตรงนี้งงแฮะ 

@ricca chan


ไม่เสมอไปครับ ผมเองก็ซื้อกองทุนเก็บเอาไว้อยู่บ้าง(หลักๆเพื่อลดหย่อนภาษีมากกว่า)


หลักการซื้อกองทุนจะไม่เหมือนหุ้นเสียทีเดียว เน้นการดูภาพรวมและแนวโน้มมากกว่าดูรายละเอียดเจาะเป็นตัวๆ


ให้อ่านหนังสือชี้ชวนของกองทุนนั้นว่า กองทุนนั้นลงทุนประเภทธุรกิจอะไร ลงทุนในประเทศหรือนอกประเทศ


สัดส่วนการลงทุน พันธบัตรรัฐบาล/หุ้นกู้(ตราสารหนี้เอกชน)/หุ้น(ตราสารทุน)/อนุพันธ์ เป็นอย่างไร


ผู้บริหารกองทุนมีประสบการณ์และประวัติเป็นอย่างไร เชี่ยวชาญการลงทุนแบบไหน เช่น ตราสารหนี้ ตราสารทุน อนุพันธ์


ผู้บริหารกองทุนถนัดในตลาดกระทิง หรือ ถนัดในตลาดหมี (เก่งตอนเศรษฐกิจดี หรือ เก่งตอนเศรษฐกิจแย่)


ยกตัวอย่าง เช่น กองทุนของธนาคารกรุงศรีอยุธยา กองทุนนี้ทำกำไรเก่งมากตอนเศรษฐกิจดีในยุคยิ่งลักษณ์


แต่พอเศรษฐกิจ Down ลง ในยุคปัจจุบัน กองทุนขาดทุนหลายกองทุน เพราะไม่ถนัดการเล่นในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี


แนะนำให้ศึกษาจากหนังสือชี้ชวนครับ และเอาหนังสือชี้ชวนมาเปรียบเทียบกันหาอันที่ดีและเหมาะสมกับเรา(เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน)


@deaddy


ความหมายของผมคือ TIDLOR จะมีแนวทางปรับเปลี่ยนระบบบริหารอย่างไรต่างหากครับ ที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


หรือผมพูดง่ายๆ คือ ทำให้เกิด Indirect Cost น้อยลงอันเกิดจาก Management Cost ครับ


เช่น สัดส่วนของพนักงานแต่ละแผนกของแต่ละสาขาจะต้องปรับอย่างไร จะรีดศักยภาพของพนักงานเก่า+พนักงานรับใหม่อย่างไร


นี่ต่างหากครับ คือ โจทย์ที่สำคัญที่สุดของ TIDLOR คือ การปรับ Organization Chart อย่างไร

ซึ่งตัวแปรที่สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารตัวหนึ่งก็คือ ROA ที่เป็นรายได้/สินทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของ TIDLOR คือการบริหารภายในที่มีปัญหา

ทำให้ ROA ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจประเภทเดียวกัน