หมายเหตุ : กระทู้นี้มีเพื่อนำเสนอข่าวที่เป็นประเด็น มีการCopy ข้อความอีกฝั่งมาตัดต่อในส่วนของใจความสำคัญ ไม่ได้มีเจตนายุยง ปลุ่กปั่น สร้างความขัดแย้งไม่ว่าจะกลุ่มทางความคิด เพศ ศาสนาหรือชนชาติ หากรู้สึกไม่พอใจก็ขออถัยมา ณ ที่นี้ด้วยอเมริกากับความขัดแย้งจาก “สีผิว” ปัญหาคลาสสิกที่ไม่มีวันหมดไป
เนื้อหาโดยย่อจากเหตุการณ์ที่ตำรวจในมินนิอาโปลิส ในรัฐมินเนโซต้า ของสหรัฐกระทำการเกินกว่าเหตุในการจับกุมชายผิวสีด้วยวิธีการใช้เข่ากดลงไปที่คอของเขาเป็นเวลาหลายนาทีจนหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จุดกระแสให้คนเอมริกันลุกขึ้นมาประท้วงการทำหน้าที่ของตำรวจ และการตัดสินความผิดของเจ้าหน้าที่ ลุกลามจนนำไปสู่การก่อจลาจลและเผาสถานที่ต่างๆ รวมทั้งสถานที่ราชการ และสถานีตำรวจมินนิอาโปลิส
ประเด็นเรื่องของการปฏิบัติต่อความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสีผิวกลับมาเป็นสิ่งที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวสี ที่มีความอ่อนไหวอย่างมากในเรื่องของการเหยียดสีผิวในอเมริกา และมักตามมาด้วยความรุนแรงของสังคมที่ตอบโต้กลับต่อความเคลือบแคลงใจในการทำหน้าที่ของคนผิวขาว
แม้ปัจจุบันศักดิ์ศรีของคนผิวสี หรือคนผิวเหลืองในอเมริกาจะมีความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแล้ว และอเมริกาผ่านยุคของการมีประธานาธิบดีผิวสีมาแล้วอย่าง บารัค โอบามา ที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับความต่างเรื่องกำพืดของเชื้อสายและสีผิว แต่มันก็เหมือนเป็นภาพลวงตา เพราะเอาเข้าจริงแล้วสังคมอเมริกาก็ยังประขัดแย้งในเรื่องนี้อยู่ต่อเนื่อง
ในสายตาของคนผิวขาวบางกลุ่ม หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพจำของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน มักถูกนำไปผูกโยงเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ความยากจน ชุมชนแออัด ยาเสพติด และความรุนแรง เป็นการตีความที่เกินไปกว่าสถานการณ์จริงที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอาชญากรรมเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ออกจะไม่เป็นธรรมหากจะตัดสินอย่างเหมารวม
เพราะแม้แต่สื่อในภาพยนต์จากฮอลลีวูดเองก็ยังมีการสร้างคาแรคเตอร์ตัวละครของคนผิวสีให้ออกมาในแนวดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันปฏิเสธไม่ได้ว่าทัศนคติต่อความต่างของมนุษย์ยังแบ่งแยกภาพลักษณ์ความเป็นคนด้วยสีผิวอยู่ในทุกๆ วงสังคม
แม้แต่ตัวผู้นำประเทศอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บ่อยครั้งก็มักพูดอะไรออกมาต่อหน้าสื่อเมื่อถูกสัมภาษณ์ที่เป็นการสะท้อนทัศนคติลึกๆ ในจิตใจออกมาว่ามีการเหยียดสีผิว ที่แม้ออกมาปฏิเสธต่อสาธารณะว่า ตัวเองไม่ใช่คนประเภท “เหยียดผิว” แต่หลายครั้ง การให้สัมภาษณ์การพูดหาเสียง ทรัมป์ มักแฝง “เจตนา” โดยไม่สนใจกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งกรณีที่ไปไล่ 4 ส.ส.หญิงผิวสีพรรคเดโมแครตว่า ถ้าไม่รักประเทศนี้...ก็ออกไป
อีกทั้งในสังคมอเมริกันยังมีพบการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติเพิ่มขึ้นในยุคของทรัมป์ โดยศูนย์วิจัยพิวเปิดเผยผลการสำรวจเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 56 เชื่อว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติสีผิวในสหรัฐฯ แย่ลง นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด หรือร้อยละ 65 ระบุว่าในยุคหลังทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ผู้คนแสดงออกแบบไม่คำนึงถึงความอ่อนไหวในประเด็นเชื้อชาติสีผิวมากขึ้น และร้อยละ 45 ยังมองว่าผู้คนคิดว่าการเหยียดเชื้อชาติสีผิวกลายเป็นเรื่องยอมรับได้ในสังคมมากกว่าเดิม
ขณะที่ศูนย์เซาธ์เทิร์นโพเวอตีลอว์ กลุ่มด้านสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ที่ทำการศึกษาเฝ้าระวังกลุ่มความเกลียดชังต่างๆ เปิดเผยว่ากลุ่มความเกลียดชังในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2561 และอาชญากรรมจากความเกลียดชังก็เพิ่มขึ้นเป็นเวลา 4 ปีติดต่อกันหลังจากที่ลดลง 3 ปี ในช่วงสมัยรัฐบาลโอบามา
จำนวนตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกให้รู้ว่าทรัมป์ไม่ได้เป็นเพียงคนที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ทำให้เกิดการกลายเป็นหัวรุนแรง ทรัมป์ยกระดับให้เกิดสิ่งเหล่านี้ผ่านทางโวหารและนโยบายของเขา เป็นเสมือนใบผ่านทางให้ชาวสหรัฐฯ ทำตามสัญชาติญาณดิบที่เลวร้ายที่สุดของตัวเอง
เนื้อหาเต็ม https://web.facebook.com/photo?fbid=1457610331077954&set=a.140887172750283โควิด-19: การระบาดของไวรัสโคโรนา เพิ่มอคติและความเกลียดชังต่อคนเอเชียในสหรัฐฯ
การคุกคามด้วยวาจาและทำร้ายร่างกายคนเชื้อสายเอเชียตะวันออกที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ กำลังเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา สะท้อนถึงความจริงอันเจ็บปวดของอัตลักษณ์คนอเมริกัน
แม้นไม่ได้เกิดในสหรัฐฯ แต่วิถีชีวิตของ เทรซี เหวิน ลิ่ว ไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ "ความไม่เป็นอเมริกัน" เลย ลิ่วไปดูการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล ชม 'เซ็กซ์ แอนด์ เดอะ ซิตี' ทางโทรทัศน์ และอาสาช่วยงานคลังอาหารเพื่อผู้ยากไร้
ก่อนการระบาดของโควิด-19 หญิงวัย 31 ปีคนนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเชื้อสายเอเชียตะวันออกที่อาศัยในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส "จริง ๆ นะ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองดูแตกต่างมากขนาดนั้น" ลิ่วเล่าว่า เพื่อนชาวเกาหลีของเธอคนหนึ่งถูกผู้คนรุมผลักและตะคอกใส่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็บอกให้ออกไปจากร้าน เพียงเพราะเป็นคนเอเชียและสวมหน้ากาก คนเชื้อสายเอเชียตะวันออกในรัฐนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส เจอการเหยียดเชื้อชาติรุนแรงกว่านั้น ทั้งถูกถ่มน้ำลายใส่ โดนชกหรือเตะ รายหนึ่งถึงกับถูกมีดแทง
ทางการนครนิวยอร์กและลอสแองเจลิสระบุว่า กรณีที่เกิดจากความเกลียดชังพุ่งเป้าไปที่คนเชื้อสายเอเชียได้เพิ่มขึ้น ด้านศูนย์รับร้องเรียนที่บริหารงานโดยกลุ่มเคลื่อนไหวและมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโกสเตท เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งกรณีการเหยียดเชื้อชาติที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาแล้วกว่า 1,700 ครั้ง
ตำรวจใน 13 รัฐทั่วประเทศ เช่น รัฐเท็กซัส วอชิงตัน นิวเจอร์ซีย์ มินนิโซตา และนิวเม็กซิโก ต่างได้รับแจ้งเหตุการณ์เชิงเหยียดคนเอเชียเช่นกัน
มีเสียงวิจารณ์ว่า ผู้มีตำแหน่งระดับสูงเป็นคนทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ที่ถูกวิจารณ์หนักว่า สาดน้ำมันเข้ากองเพลิงด้วยวาทกรรมเชิงต่อต้านจีน เวลาพูดถึงบทบาทของจีนต่อการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้ความรู้สึกต่อต้านคนเอเชียยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียต่างรู้สึกว่าไม่เพียงตกเป็นเป้าทำร้าย อัตลักษณ์ความเป็นอเมริกันของพวกเขาก็ถูกสั่นคลอน ด้วยเช่นกัน
ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของประเทศ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย แมดิสัน ฟริมเมอร์ ลูกครึ่งจีน วัย 23 ปี รับรู้ถึงการโจมตีเชิงเหยียดคนเอเชีย แต่ "ไม่คิดว่ามันจะมีดาษดื่นขนาดนั้น"

แต่แล้ว ในเดือน เม.ย. เธอไปช่วยแปลภาษาให้กับสามีภรรยาสูงวัยชาวจีนที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในนครลอสแองเจลิส แต่กลับถูกหญิงคนหนึ่งที่ดูโกรธจัด ด่าทอเป็นเวลานาน ซ้ำร้ายยังเขวี้ยงน้ำใส่ และฉีดสเปรย์ไล่อีกด้วย
"หล่อนตะโกนว่า 'พวกแกกล้าดียังไงมาซื้อของร้านเดียวกับที่ครอบครัวฉันมา กล้าดียังไงที่มาทำลายประเทศของฉัน พวกแกเป็นสาเหตุทที่ทำให้ครอบครัวของฉันหาเงินไม่ได้เลย'
กลุ่มพิทักษ์สิทธิชาวเอเชีย และมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโกสเตท ได้ร่วมกันสร้างฐานข้อมูลในชื่อ STOP AAPI HATE ที่บันทึกการแจ้งเหตุเกี่ยวกับการแบ่งแยกจากโควิด-19 ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และประชาชนจากหมู่เกาะแปซิฟิกที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ
พวกเขาได้รับตัวอย่างข้อมูลจาก 45 รัฐ โดยกรณีที่เกิดขึ้นส่วนมาก เกิดในรัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก
บันทึกการแจ้งความนั้น ครอบคลุมกรณีที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ การคุกคามทางวาจาเป็นรูปแบบที่มีรายงานเข้ามามากที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรายงานถึงการเดินเลี่ยง ทำร้ายร่างกาย การแบ่งแยกในที่ทำงาน ห้ามเข้าสถานประกอบการ และการทำลายทรัพย์สินด้วย โดยผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากกว่าผู้ชาย
โพสต์ https://web.facebook.com/BBCnewsThai/posts/2654935144727509ต้นทาง https://www.bbc.com/thai/international-52852886?at_custom2=facebook_page&at_custom3=BBC+Thai&at_custom4=3246EA98-A216-11EA-B7E0-2A6596E8478F&at_campaign=64&at_custom1=%5Bpost+type%5D&at_medium=custom7&fbclid=IwAR1eEKAldw0dSyGs66SYjU70aTp8Ep1E2UFzuF-drNgLXDS3Xh0S4gvIq6Q