เคสใครเคสมันนะครับ
ขอเล่าในกรณีเคสของผมที่ทำงานมาได้ 5 ปี แล้ว
ปีแรกที่ทำงาน คือปี 2014
ผมแบ่งเงินเป็นสองกองอย่างง่าย คือ กองค่าใช้จ่ายจำเป็น แล้วที่เหลือคือเงินเก็บ
โดยตอนเริ่มทำงานผมไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วนอะไรชัดเจน เรียกว่าเป็นสมัยที่ยังโง่และไร้วินัยในการลงทุนครับ
ต่อมาปี 2015 ฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นน้อยมากจนแทบเรียกว่าไม่เพิ่ม ในตอนนั้นผมเองก็เหมือนท่าน คือเริ่มมองหาการลงทุนเพื่อเอาไว้ใช้ยามตัวเองแก่ตัว
เป็นครั้งแรกที่เริ่มแบ่งกองลงทุนครับ
ตอนนั้นผมลงทุนมั่วไปหมด ผลคือเงินจมครับ (จมไปเพียบ เงินสูญหายไป 80% ของบัญชีที่มี) เป็นบทเรียนชั้นเจ็บปวดชิ้นโตทีเดียว
ซึ่งตอนนั้นผมลงทุนใน [หุ้น] ครับ
หลังจากนั้นก็เข็ดหลาบไม่กลับไปหาหุ้นเลยอีกหลายปี
แต่ผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ครับ
ตอนปลายปี 2015 ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ ยอมเป็นหนี้แบ้งค์เพื่อซื้อคอนโด ลงทุนในอสังหาครับ
แต่เพราะได้รับบทเรียนชั้นดีมาจากหุ้น คราวนี้เลยศึกษาหลายอย่างหน่อยก่อนลงทุน เพื่อจะได้ไม่เจ็บตัวอีก
สุดท้ายก็ไปได้คอนโดราคาไม่โหดติดริมรถไฟฟ้าฝั่งธนครับ
ค่าผ่อนธนาคารก็ตก 9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าโหดเอาเรื่องกับเงินเดือน ณ ตอนนั้น
ต่อมาปี 2016 - 2017 ผมก็ลงทุนกับคอนโดไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมไม่ได้ใช้วิธีแบ่งกองเงินแล้ว แต่ใช้วิธี
รายการด้วยโปรแกรม Excel เพื่อให้เห็นภาพ ว่าตัวเองต้องใช้จ่ายอะไรบ้างต่อเดือนครับ
โดยผมแบ่งเป็น
[เงินค่าใช้จ่ายจำเป็นที่ต้องจ่าย อาธิ ค่าเดินทาง ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร]
[เงินลงทุนคอนโดที่ต้องผ่อนธนาคารต่อเดือน]
[เงินให้พ่อแม่]*อันนี้แล้วแต่กรณีครอบครัว
[เงินค่าสังคม]
[เงินค่าการ์ตูน ค่าเกมส์ ค่าบันเทิง]
[อื่น ๆ]
ผมแบ่งหมวดค่าใช้จ่าย แล้วหักลบเงินได้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าต่อเดือนนั้นผมมีเงินเหลือเท่าไหร
เสร็จแล้ว ผมจะเอาเงินเหลือ ไปแบ่งเป็นเงินสำหรับลงทุนสะสมครับ
คำถามคือเงินลงทุนก้อนนี้ผมเอาไปใช้กับอะไร ?
คำตอบคือคอนโดครับ
ไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ ค่าผ่อนคอนโดถ้าหากโปะได้ก็ควรโปะครับ
ดังนั้นแต่ละเดือนผมจะรู้ตัวว่าใช้จ่ายอะไรสิ้นเปลืองบ้าง ผมก็จะหักตัวนั้นออก แล้วก็มีเงินเอาไปโปะค่าคอนโดได้ทุกเดือนครับ
ซึ่งวิธีนี้ สำหรับผมนั้น เห็นผลชัดเจนมากครับการใช้วิธี "ตั้งเงินจำเป็นต้องใช้" ขึ้นมา แล้วหักลบเงินได้ ท่านจะรู้ตัวทันทีว่าสิงใดคือสิ่งจำเป็นจริง ๆ สำหรับท่าน แล้วทำวิธีนี้ท่านจะมีเงินเก็บ + เงินสำหรับลงทุนเสมอครับ
แต่ถ้าท่านใช้วิธีแบ่งกองตั้งแต่แรกโดยไม่รู้ว่าจริง ๆ ต้องใช้อะไรบ้าง นั่นคือหายนะครับ เพราะนอกจากกดดันตัวเองที่จะต้องใช้เงินให้อยู่ในงบ ท่านยังจะเกิดความรู้สึกว่า "ทำไมเงินไม่พอใช้ แบบนี้คงต้องลด % เงินจากกองอื่นแล้วสิเนี่ย" ผลลัพธ์คือท่าน(ผม)จะเผลอลดเงินเก็บกับเงินลงทุนออกไปโดยไม่รู้ตัวทันทีครับ
ผมใช้วิธีนี้เรื่อยมาตั้งแต่ปี 2016 จนกระทั้งทำให้สามารถคืนหนี้ธนาคารได้อย่างรวดเร็ว และยังเหลือเงินก้อนพอประมาณเอาไปลงทุนในอย่างอื่นต่อได้อย่างสบายใจ เพราะแยกเงินเก็บกับเงินลงทุนที่เหลือจากเงินใช้จริงมาแล้ว
ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ผมไร้ซึ่งปัญหาทางการเงินด้วยวิธีนี้ครับ
ต่อมาปี 2018 เป็นปีที่ผมตัดสินใจกลับไปลงทุนในหุ้นอีกครั้งครับ
คือบังเอิญว่าตอนปี 2018 มีคนใส่ยาแรงให้ผม จนคิดสำนึกได้ครับ ว่า [การลงทุนไม่จำเป็นต้องมีเงินล้าน] ครับ
การลงทุนไม่จำเป็นต้องเปิดกิจการใหญ่โต ท่านจะเพิ่มความรู้ตัวเอง เพิ่มประสบการณ์ เพิ่มแนวคิด หรือแม้พัฒนาคุณค่าของตัวเอง พัฒนาความสามารถ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการลงทุนทั้งสิ้นครับ
ซึ่งในเวลานั้น เงินสำหรับใช้ลงทุนที่เป็นเงินเย็น ผมมีอยู่ทั้งสิ้นก้อนหนึ่ง (ผลจากการเก็บสะสมมาจากปี 2016-2018)
ตอนนั้นผมลังเลระหว่างโปะค่าผ่อนคอนโด กับดึงไปลงทุนในอย่างอื่นเพิ่ม
และผมยอมรับว่าผมมีลูกบ้าพอครับ
สุดท้ายเลยเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนในหุ้น
แต่เพราะว่ามีประสบการณ์จากปี 2015 แล้ว คราวนี้เลยศึกษาตลาดก่อนลงทุนครับ
หรือพูดง่าย ๆ คือคราวนี้ผมเริ่ม [ลงทุน] ให้กับทักษะตัวเองครับ
แน่นอนว่าผมไม่ได้จบสายตรงทางด้านบัญชี ทักษะตัวเองคือเม่าชั้นเยี่ยม ไม่ได้เก่งกาจอะไรทั้งสิ้นเลย
แต่คราวนี้ผมมาเข้าตลาดด้วยแนวคิดที่ต่างไปจากปี 2015 คือมองว่าตัวเองไม่ได้มาเข้าตลาดหุ้นเพราะหวังรวย แต่มาเพื่อ [ลงทุน] ครับ
ผมศึกษา [ธุรกิจ] ที่น่าสนใจในตลาด ตัวไหนน่าสนใจและสามารถเติบโตได้ แล้วจึงเอาเงินตัวเองเข้าไป [ลงทุนร่วม] นั่นละ ผมลงทุนในลักษณะด้วยแนวคิดเช่นนั้นครับ
ผลลัพธ์ของการมี [วินัยในการใช้จ่าย] ... คือทำให้ปัจจุบัน หลังปี 2018-2020 ผมสามารถเพิ่มพอร์ตให้โตขึ้นมาจากอดีตได้ถึง 3 เท่า และทำกำไรจากหุ้นได้ โดยปี 2018 อยู่ที่ 9% และปี 2019 อยู่ที่ 3% ของขนาดพอร์ตครับ
ทำให้ปัจจุบัน ปี 2020 ทรัพย์สินสะสมจากการทำงานของผมเริ่มมากขึ้น
-คอนโดสามารถทำเงินและสะสมมูลค่าเพิ่มคิดได้เป็น 4% ของเงินลงทุน
-หุ้น เน้นกินปันผล + ดูแลเข้าทำกำไร เพิ่มมูลค่าเงินตามสภาพเศษฐกิจประเทศ
-เงินเดือนปกติ
-เงินจากการขายนิยาย (อันนี้งานอดิเรก ได้น้อยมากจนแทบเรียกว่าไม่ได้)
-เงินจากการขายขนม (อันนี้งานอดิเรก ได้น้อยมากจนแทบเรียกว่าไม่ได้)
-เงินจากการทำแอฟเกมส์ขาย (อันนี้วางแผนจะทำในอนาคต)
แน่นอนว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้... ไม่ได้ทำให้รวยแต่อย่างใดครับ (ฮา) แต่อย่างน้อยก็พอทำให้มีอิสระภาพทางการเงินระดับหนึ่งครับ คือมันทำให้ผม [อยู่ได้]
อย่างน้อยทั้งหมดที่ว่ามานี้ ผมหากินด้วยแนวคิด "ทำยังไงก็ได้ ให้ตรูมีเงิน แต่มีเวลาว่างมากพอมาทำงานอดิเรกได้" เลยทำให้หันไปลงทุนในหุ้นกับอสังหานี่ละครับ 555+
แล้ววิธีของผมเนี่ยต้องใช้ความอดทนสูงมาก ท่านจะต้องเป็นคนที่ยอมรับได้กับสภาพ [ติดตัวแดง] กับสภาพที่ [ไม่มีเงินได้] จากการลงทุนเหล่านั้นครับ
อีกเรื่องคือการลงทุนนั้น ต้องลงทุนด้วย [ความรู้] ครับ ไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือ แต่เข้าไปมือเปล่ามีสิทธิโดนมันกัดตายห่าได้ครับ เลยต้องมีอาวุธพกไปด้วย ซึ่งบางที พกอาวุธไปก็ยังโดนเสือกัดตายได้เลยครับ 555+
*********
ข้อสรุป วิธีวางแผนการเงินของผม 1. [เงินได้] - [เงินใช้ต่าง ๆ] = [เงินคงเหลือ]
2. [เงินคงเหลือ] แบ่งเป็น = [เงินเก็บ] : [เงินลงทุน] ที่ 30 : 70
3. [เงินลงทุน] แบ่งเป็น = [เงินผ่อนคอนโด] : [เงินลงทุน (เล่นหุ้น)] ที่ 80:20
ตามนี้ครับ
สำคัญสำหรับการวางแผนการเงิน คือ
[วินัย] ครับ [/list]