มันคือสันดานของมนุษย์
สัญชาตญาณของมนุษย์หรือของสิ่งมีชีวิตคือการเอาตัวรอด
ถ้าหากว่าระบบสามารถสรรหาการลงโทษให้กับคนผิดได้จริง เหยื่อก็จะได้รับความเป็นธรรม
แต่ความจริงการสืบเสาะหาคนผิดจริงนั้นมันยุ่งยาก ไหนจะหาหลักฐาน ไหนจะดำเนินเรื่องถ้าไม่มีรางวัลตอบแทนของความเหนื่อยยากนั้น ใครมันอยากจะมาหาความยุติธรรมมาให้เหยื่อ ?
ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่ามีเพียงทนายที่เราจ้างมาเท่านั้น ที่ไว้ใจได้ว่าสามารถช่วยเพื่อหาความยุติธรรมมาให้เราได้
คนที่เข้ามาช่วยเราโดยไม่เก็บเงินหรือหวังสิ่งตอบแทนนั้น ให้ทำใจเอาไว้เลยว่าเขาสามารถหักหลังหรือทอดทิ้งเรากลางคันได้ เพราะเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเราตั้งแต่แรกแล้ว
หรือต่อให้มีคนเข้าหาช่วยเหลือเราด้วยความหวังดี ก็ของให้สงสัยเอาไว้ก่อน ว่าเขาเข้าหาพวกเราด้วยวัตถุประสงค์อะไร
แม้แต่มารดาและบิดาหรือเครือญาติก็มิใช่ข้อยกเว้นครับ
จงสงสัยและตั้งคำถามเสมอ ว่าพวกเขาเข้าหาพวกเราเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
การสงสัยเพื่อนมนุษย์เพื่อเข้าใจอีกฝ่ายไม่ใช่การกระทำที่ผิด แต่การไม่สงสัยเลยนั้นน่าโมโหกว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าความจริงแล้วเราเห็นแก่ตัวเองมากกว่าจะมานั่งสนใจความคิดของอีกฝ่ายครับ
สรุปแล้วสุดท้ายคนที่พึ่งได้มากที่สุดก็ไม่พ้นตัวเองกับคนที่มีทำสัญญาอย่างชัดเจนเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันครับ
และนี่คือความจริงของโลก...(ฟังหดหู่ชิบหาย)
บางคนอาจบอกว่า อ่าว...พูดงี้จะบอกว่าคนดีไม่มีในโลก หรือพวกพยายามมองโลกสวยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดอย่างงั้นหรือ ?
คำตอบคือไม่ใช่ครับ
ผมอยากจะชี้ประเด็น ว่าถ้าอยากเป็นคนที่ยุติธรรม หาความเป็นธรรมจากสังคมได้นั้น ต้องเข้าใจสันดานมนุษย์กับระบบสังคมก่อน
เมื่อเข้าใจระบบแล้ว สิ่งที่ตามมาคือเราต้องมีพลังและอำนาจมากพอเพื่อทำเรื่องยุติธรรมและโลกสวยที่ว่านั้นครับ
ปล. ปัญหาคือผมไม่มีพลังและอำนาจที่ว่านั้นฟะ