หลักๆ ที่บิตคอยน์มันมูลค่ายังไม่เสถียรก็เพราะ market cap มูลค่ารวมของมันยังมีมากไม่พอครับ
เหมือนน้ำในถังเล็กๆ เอาขันตักน้ำออกหรือเทน้ำเข้าก็จะทำให้ระดับน้ำในถังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเอาขันเดียวกันนี้ไปตักน้ำในอ่างเก็บน้ำชลประธานแล้วก็จะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำครับ
การเทรดก็เช่นกัน พวก market cap น้อยๆ เจ้าลงทีนี่ราคาพุ่งดังใจทีเดียว
เงินสกุลประจำชาติต่างๆ หรือ fait เองก็ไม่ต่างกันนักเพียงแค่ธนคารประจำประเทศเป็นเจ้าแทน
สมัยก่อนพวกกองทุนรวมถึงได้ลงขันกันเทเก็งกำไรค่าเงินประเทศต่างๆ
กรณีปี 2540 ของไทยนี่ตายคู่ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและกองทุนรวม เหล่าแร้งมุงอิ่มครับรอบนั้น
ตอนนั้นเจ้าหรือธนคารแห่งประเทศไทยขีดเส้นไว้ที่ราคา 25 บาทต่อ 1 ดอลล่ามะกัน
ตัวอย่างการขีดเส้นราคาซื้อขาย สีแดงข้างบนขาย สีเขียวข้างล่างซื้อ
ตัวเลข 3 แถวด้านซ้ายคือ มูลค่า หน่วยบิตคอยน์ และราคาต่อบาทต่อ 1 บิตคอยน์
ซึ่งเขียวกับแดงนี้จะดันกันแบบโต้พลังในดราก้อนบอลโดยมีมูลค่าเป็นค่าพลัง
โดยตรงกลางที่ราคาซื้อกับขายเท่ากันก็จะเกิดการเทรดแล้วหักมูลค่าของทั้ง 2 สีออกจากรายการ ถ้าอันไหนมูลค่าเหลือก็อยู่ในรายการต่อไป
โดยสีแดงก็จะด้านล่างบวกก่อน สีเขียวก็ด้านบนบวกก่อน
ทีนี้ท่านจะเห็นว่ามันจะมีอยู่ 2 ที่ซึ่งมูลค่าสูงมาก ร้องโอเวอร์ 9000 แบบเบจิต้าทีเดียว สีแดงเกือบ 5 ล้านบาทและสีเขียวกว่า 16 ล้านบาท
ซึ่งหมายความว่าใครจะตั้งราคาขายสูงกว่าเจ้าเกือบ 5 ล้านนั้นจะต้องรอคนซื้อเจ้าเกือบ 5 ล้านนั้นให้หมดก่อนถึงเขาจะมาซื้อของตัวเองได้
เช่นเดียวกับสีเขียว ใครจะซื้อราคาถูกกว่าเจ้า 16 ล้านนั้นคนขายต้องขายให้กับเจ้า 16 ล้านนั้นหมดก่อนถึงจะขายใหักับเจ้าที่ซื้อถูกกว่าได้
แน่นอนว่าทั้ง 2 เจ้าของเขียวและแดงสามารถยกเลิกคำสั่งซื้อขายนี้ได้ก่อนมูลค่าของตัวเองจะเป็น 0 หากโดนถล่มแล้วคิดว่าไม่คุ้ม
กลับมาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งในสมัยก่อนที่ตรึงราคาเงินที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าก็ทำแบบนี้แหละครับ
โดยเอาเส้นแดงและเขียวไว้ใกล้ๆ กันแถวๆ ราคา 25 บาทแล้วอัดมูลค่าตัวเองไปเยอะๆ
ทีนี้พวกกองทุนรวมก็ค่อยๆ ทะยอยซื้อเงินบาทเก็บแอบดำลงไปในโซนสีเขียวจนมูลค่าของตัวเองมีมากพอ
จากนั้นก็พุ่งถล่มเส้นแดงเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขยับเส้นแดงที่ขีดเอาไว้สูงขึ้นซึ่งจะทำให้เงินบาทที่ซื้อเอาไว้ขายได้แพงขึ้น
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอม สู้จนสุดมูลค่าของเส้นแดงซึ่งฝ่ายกองทุนรวมมูลค่าหมดก่อน
แต่มูลค่าเส้นแดงของธนาคารแห่งประเทศไทยก็เรียกได้ว่าแทบไม่เหลือ ผลก็คือคนอื่นตามน้ำกองทุนรวมถล่มจนทะลุเส้นแดง
หลังจากนั้นท่านก็จะได้เห็นการเทรดแบบบิตคอยน์ ณ ปัจจุบันที่เทรดกับเงินบาทไทยแทน
เด้งจาก 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าไปทะลุได้ถึง 50 บาทต่อ 1 ดอลล่ากว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะดองเงินดอลล่าพอให้กลับมาขีดเส้นแดงได้
แล้วมันไปเป็นวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างไร ตอนนั้นดอกเบี้ยเงินฝากไทยแพงมาก 8% ต่อปี
ทั้งคนและบริษัทหัวหมอก็ไปกู้เงินดอลล่าจากต่างประเทศมาฝากทำกำไรกัน
ทีนี้พอเงินที่ต้องจ่ายดอก จ่ายต้น ME้เป็นดอลล่ามันก็ต้องจ่ายเป็นดอลล่า
แต่คนถือดอลล่าเขาไม่ซื้อเงินบาทที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าแล้ว เขาขายราคาเท่าไหรก็ต้องซื้อไม่งั้นส่งดอกไม่ตรงเรื่องยาว
กุมขมับกันสิครับ ME้หนี้มา 10 ล้านกลายเป็นหนี้ 20 ล้านในพริบตา
พวกนำเข้าวัตถุดิบ สินค้าทั้งหลายก็เหงิบ ตกลงราคาแล้ว จ่ายเงินกันแล้ว จู่ๆ ต้นทุนขึ้นเท่าตัว
ดังนี้มูลค่าเงิน fiat เงินของประเทศต่างๆ นั้นจะเสถียรแค่ไหน จะผันผวนแค่ไหนนั้นอยู่ที่ฝีไม้ลายมือของแต่ละประเทศว่าจะคุมเส้นเขียวเส้นแดงนี้อย่างไร
ส่วนการด้อยค่าของเงินนั้นนอกจากราคาซื้อขายเงินบาทของประเทศเราแล้ว ยังต้องดูประเทศอื่นใครพลาดบ้างด้วย
เพราะเส้นแดงสูง เงินอ่อนค่า ส่งออกมีแรงทุ่มตลาดได้มากเพราะต้นทุนเป็นเงินในประเทศแต่ขายเป็นดอลล่า
ทำให้ต้นทุนเท่าเดิมแต่ขายได้แพงขึ้นซึ่งสามารถลดกำไรตัดราคาชาวบ้านได้
ซึ่งพอขายได้มากก็จะดึงเงินต่างประเทศเข้ามือธนาคารประเทศนั้นๆ ไปโปะเส้นแดงได้มากขึ้น
เส้นแดงสูงเกินไปทำให้เหล่าคนออมเงิน คนรวยที่มีทรัพย์สินในประเทศไทยซะมากนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินลดลง
คนจนและคนชั้นกลางลำบากเพราะสินค้านำเข้าแพงส่งผลให้สินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศราคาสูงขึ้น
แต่ก็ยังพออยู่ได้เพราะกลุ่มส่งออก นักลงทุน นักท่องเที่ยวเฮโลกันมากระจายทรัพย์เพราะเงินบาทถูก
อย่างไรก็ดีถ้าระเบิดเส้นแดงแบบซิมบัพเวย์ละก็ตายเกลือนทุกชนชั้นล่ะครับ
เส้นเขียวต่ำเกินไปก็จะทำให้เงินแข็งค่า ส่งออกแย่ นำเข้าทะลัก ทำลายธุรกิจในประเทศ
เงินมีค่าเยอะก็จริงแต่ไม่มีงานให้ทำ ไม่มีเงินให้ใช้ คนจน คนชั้นกลางตายเรียบเหลือแต่คนรวยมีเงินเก็บที่พอไปได้ซักระยะ(เงินเก็บหมดก็ตามกันมา)
ถ้าไม่รีบเอาดอลล่าที่มีไปใช้หนี้ต่างประเทศก็พิมพ์เงินเพิ่มเพื่อยกเส้นเขียวให้สูงขึ้น ให้ไม่โดนทุ่มตลาดจนเละ
ส่วนทองคำสำรองและเงินสกุลต่างประเทศสำรองนั้น เอาไว้กรณีเงินดอลล่าหมดแล้วเอาไปขายเป็นเงินดอลล่ามาให้คนซื้อเงินบาท
เงินสกุลอื่นๆ นี่ง่ายหน่อยถ้าขายเงินบาทเป็นเงินสกุลนั้นๆ ก็ไม่ต้องดึงมูลค่าจากเส้นแดงดอลล่าออกมา
ดังนี้มูลค่าเงินบาทในกระเป๋าของเรานั้นมันไม่เคยนิ่งเช่นเดียวกับราคาทองคำและที่ดิน