ประเดิมด้วยเกร็ด ปวศ แรกยุคโชวะยุคแห่งการล้างสมองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเนื้อความโดยย่อยุคสมัยโชวะกินเวลายาวนาน 64 ปี สิ้นสุดที่การเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิฮิโรฮิโต ญี่ปุ่นเปลี่ยนยุคมาสู่ยุคสมัยเฮเซ (ค.ศ. 1989-2019) อันเป็นยุคของจักรพรรดิอะกิฮิโต ซึ่งถูกมองว่าเป็นจักรพรรดิสมัยใหม่ ก่อนพระองค์สละราชสมบัติเมื่อเดือนพ.ค. 2019 และก้าวเข้าสู่รัชสมัยเรวะ ในเวลาต่อมา
ในช่วงเวลานี้ชาติญี่ปุ่นเริ่มมีความเป็นรัฐเผด็จการทหารมากขึ้น จากการที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากประชาชนถูกทหารโค่นล้ม และกองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศแถบเอเชียเช่น จีน ก็ยังคงวางกองกำลังเพื่อแทรกแซงกิจการบ้านเมืองของชาติอื่นอย่างต่อเนื่อง และช่วงนั้นเองประเทศจีนก็อยู่ระหว่างการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินด้วยการสู้รบระหว่างคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยของเจียงไคเช็คและเหมาเจ๋อตุง ทำให้เป็นช่องโหว่สำคัญในการถูกญี่ปุ่นรุกคืบชิงดินแดนบางส่วนของจีนอย่างเหี้ยมโหด โดยเฉพาะเมืองนานกิง ที่เป็นอุบัติการณ์อันอำมหิตที่สุดหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกนั่นเอง…
เมื่อเข้าสู่ปี 1926 องค์ชายฮิโรฮิโตสืบราชสมบัติจักรพรรดิและเปลี่ยนเป็นรัชสมัยยุคโชวะ
เริ่มต้นในยุคโชวะ รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมีรูปแบบการผสมผสานกันระหว่างราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงให้อำนาจสูงสุดแก่องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นและคณะรัฐบาลทหาร ส่งผลให้ญี่ปุ่นในช่วงนั้นมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงพวกนักการเมืองคลั่งชาติขวาจัดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก พวกมันร่วมมือกับกลุ่มอำนาจนิยมทหารชาตินิยมหัวรุนแรงปฏิวัติยึดอำนาจและได้นำพาประเทศญี่ปุ่นไปสู่ลัทธิทหารนิยม ซึ่งวิวัฒนาการของลัทธิชาตินิยมคลั่งชาติของพวกอนุรักษ์นิยมที่ได้นำไปสู่ลัทธิทหารซึ่งสืบทอดต่อเนื่องมาจากยุคเมจิ
ลัทธิทหารนิยมขยายอำนาจจนครอบงำการเมืองญี่ปุ่นในช่วงยุคต้นโชวะ ทำให้จักรพรรดิโชวะมีฐานะเป็นสมมุติเทพและเป็นจอมทัพสูงสุดของญี่ปุ่น ความต้องการอันแรงกล้าของพวกขวาจัดในญี่ปุ่นในขณะนั้น คือการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่คับเอเชีย
นักการเมืองฝ่ายกลางและฝ่ายซ้ายถูกไล่ล่าเข่นฆ่าเป็นจำนวนมากในยุคนี้ ดังนั้นในยุคเริ่มต้นปีโชวะจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงจากปัญหาการใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรมของพวกขวาจัด แต่ฝ่ายขวาจัดเองก็ยังแตกออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ ขั้วหนึ่งคือ คือพวกรักชาติเพื่อมุ่งให้ชาติเจริญ อีกพวกหนึ่งมุ่งขยายจักรวรรดิเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ช่วงเวลานั้นประชาชนโดยทั่วไปซึ่งโดนล้างสมองอย่างหนักเพื่อความฝันในการเป็นมหาอำนาจของเอเชีย ช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นต้องการบุคคลากรที่เต็มใจถวายชีวิตเพื่องานการรบจำนวนมากๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเริ่มทำสงครามเพื่อทดสอบแสนยานุภาพของกองทัพและกอปรกับญี่ปุ่นสามารถพัฒนากองทัพที่มีแสนยานุภาพเกริกไกรทดเทียมกับชาติในยุโรปได้แล้ว ญี่ปุ่นในยุคโชวะได้แปรสภาพเป็นจักรวรรดิญี่ปุ่นเต็มตัวแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งชาติที่มีส่วนสำคัญต่อสงคราม รวมไปถึงมีส่วนต่อการสังหารชีวิตผู้คนมากมาย
แนวคิดแบบทหารนิยมนี้แทรกซึมเข้าไปในทุกภาคส่วนของสังคมญี่ปุ่น มีการสอนให้เยาวชนญี่ปุ่นรักชาติ เสียสละ-พลีชีพเพื่อชาติ และต่อต้านประชาธิปไตย ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพของญี่ปุ่นเป็นสื่อที่สร้างความรักชาติและการทำเพื่อชาติได้เป็นอย่างดี เป็นการศึกษาที่เน้นความจงรักภักดีต่อสถาบัน มากกว่าการหาความรู้แบบสากล ในโรงเรียนทั่วไป วิชาที่เรียนตามโรงเรียนก็ถูกเปลี่ยนไปมาเน้นเรื่องชาตินิยมแทน เช่น มีการให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับความพร้อมในการสละชีพเพื่อองค์พระจักรพรรดิ
ช่วงเวลานั้น ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าสามารถตายเพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิโดยไม่มีข้อแม้และไม่เสียดายชีวิต การตายที่มีเกียรตินี้จะทำให้วิญญาณของชาวญี่ปุ่นกลับมาเกิดใหม่ในดินแดนอาทิตย์อุทัยในครอบครัวที่มีความสุข "สมเด็จพระจักรพรรดิองค์เก่า (ฮิโรฮิโตะ) ทำตัวเป็นพระเจ้า ชาวญี่ปุ่นถูกสอนว่าจักรพรรดิเป็นเทพพระเจ้า มีการส่งทหารมาประจำตามโรงเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมขึ้นไปเพื่อมาฝึกการรบให้แก่นักเรียน และเกณฑ์เยาวชนไปฝึกทหาร มีการล้างสมองหมู่อย่างหนักจนเด็กบางคนจากคนที่เคยเป็นคนไม่ชอบความรุนแรงก็กลายสภาพเป็นพวกจักรวรรดินิยมหัวรุนแรงอย่างเต็มตัว รวมถึงญี่ปุ่นได้นำลัทธิล้างสมองนี้ไปเปลี่ยนแปลงคนบนเกาะไต้หวันทุกเผ่าพันธ์ให้กลายสภาพเป็นคนญี่ปุ่นไปด้วยโดยใช้เวลา50ปีนับตั้งแต่ยุคต้นปีโชวะ จากนั้นกองทัพญี่ปุ่นก็ส่งคนเหล่านั้นไปรุกรานทั่วคาบสมุทธเกาหลีและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหมือนคนได้ใจเมื่อได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในที่สุดกองทัพญี่ปุ่นก็เหิมเกริมเข้าโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐที่อ่าว เพิร์ลฮาร์เบอร์ นำพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว แต่แล้วผลจากการการรบกับอเมริกา ญี่ปุ่นต้องออกจากความฝันเพื่อพบกับความเป็นจริง กองเรือญี่ปุ่นพินาศสิ้นในศึกที่มิดเวย์ ส่งผลให้ช่วงเวลาต่อมากองทัพญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อกองทัพอเมริกาในทุกแนวรบ
ในที่สุดกองกองทัพอเมริกาก็บุกเข้าประชิดจักรวรรดิญี่ปุ่น เข้าปิดล้อมหมู่เกาะริวกิวเพื่อใช้เป็นฐานการรุกเข้าทำลายจักรวรรดิญี่ปุ่น กองกำลังอเมริกากว่าห้าแสนนาย เรือรบและเครื่องบินรบเต็มอัตรา บุกเข้าเข่นฆ่าประชาชนและทหารของสมเด็จองค์พระจักร พรรดิอย่างเมามัน กองกำลังจักรวรรดิญี่ปุ่นเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ในวาระสุดท้ายนี้กลุ่มขวาจัดยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้พวกมันใช้ทหารญี่ปุ่นเป็นโล่มนุษย์ กองทัพเรือเริ่มมีการใช้กลยุทธจ้าวพายุยอมตายถวายตัวเป็นลูกขององค์พระจักรพรรดินักบินกองทัพเรือญี่ปุ่นสังเวยชีวิตไปในภารกิจพลีชีพนี้ ถึง 2,525 นายและนักบิน ของกองทัพบกญี่ปุ่นเสียชีวิต 1,387 นาย นักบินพลีชีพคะมิกะเซะส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ในช่วง 20 ปี ส่วนมากเป็นนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย แรงจูงใจที่ทำให้นักศึกษาเหล่านี้เข้าร่วมเป็นนักบินพลีชีพของกองทัพมาจากความคลั่งชาติ และความปรารถนาที่จะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลของตนเอง ด้วยการสละชีพเป็นชาติพลี และเพื่อพิสูจน์คุณค่าของความเป็นลูกผู้ชาย ซึ่งกลายเป็นความนิยมรักชาติของวัยรุ่นญี่ปุ่นในขณะนั้น
วันที่ 18 มิถุนายน ปี 1945 เมื่อทหารอเมริกานับแสนขึ้นเกาะโอกินาว่าสำเร็จพลเอกอุชิจิม่า แม่ทัพกองทัพปกป้องโอกินาว่า สั่งสลายหน่วยทหาร และยุบปฏิบัติการ แต่กำชับให้สู้แลกชีวิตกับทหารอเมริกา เพื่อถวายชีวิตเป็นราชพลี ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากที่คลั่งชาติได้ดื่มเหล้าย้อมใจและถือดาบถือปืนวิ่งเข้าใส่ปืนกลของทหารอเมริกาจบชีวิตจนหมดสิ้น แต่ทหารญี่ปุ่นบางส่วนก็หนีตายเข้าไปหลบซ่อนตัว ในที่พัก สุสาน และถ้ำหินปูนร่วมกับชาวบ้านที่หลบหนีการรบ ทหารอเมริกาจำนวนมากที่ไล่ติดตามมาจำเป็นต้องสังหารชาวญี่ปุ่นทุกคนในที่ซ่อน เนื่องจากไม่สามารถแบ่งแยกแยะได้ว่าใครคือทหารญี่ปุ่นและใครคือประชาชนโอกินาว่า
ทหารผ่านศึกชาวญี่ปุ่น “โนบุโอะ นิชิซากิ” ซึ่งผ่านช่วงเวลานั้นมากล่าวว่า “
ในช่วงเวลาแรกของสงครามเราถูกส่งไปตายเพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ และจักรวรรดิญี่ปุ่น
และทุกคนก็ฮึกเหิมและทำเหมือนเป็นเชื่อในสิ่งนั้น”
แต่ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังจะตาย พวกทหารอายุน้อยๆ ก็กรีดร้องเรียกหาแม่
ส่วนเหล่าทหารแก่ๆก็ร้องเรียกชื่อลูกหลาน“
“ไม่ได้ยินใครเรียกหาสมเด็จพระจักรพรรดิและจักรวรรดิญี่ปุ่นเลยสักคนเดียว”(โนบุโอะ นิชิซากิ ต้องออกจากบ้านไปร่วมกับกองทัพเรือตั้งแต่ปีค.ศ.1942 ในวัยเพียง 15 ปีเขาเป็นทหารเรือที่ร่วมรบในสงครามทางเรือเขาตระเวนทำสงครามในแปซิพิคตั้งแต่ในมิดเวย์และถูกต้อนมาทำสงครามฆ่าตัวตายในโอกินาว่า)
ในการรบที่โอกินาว่า เมื่ออำนาจการทหารทั้งหมดสูญสิ้นลงอย่างเด็ดขาด ประชาชนก็ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้แต่ชีวิต การรบครั้งนั้นทหารญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดกว่า 76,000 คน และพลเรือน150,000คนถูกฆ่าตาย โนบุโอะ นิชิซากิ กล่าวต่อไปว่า แม่ของเขาสั่งว่า “ลูกต้องรอดตายกลับมานะ” และเขาก็ยึดมั่นในคำขอของแม่อย่างเคร่งครัด อดทนต่อความอดอยากและโรคร้ายและโชดดีจากการหลบซ่อนตัว จนรอดกลับมาหามารดาได้ในที่สุด
และแล้วช่วงเวลาต่อมา ประธานาธิบดีทรูแมนตัดสินใจใช้ระเบิดนิวเคลียร์ลงโทษต่อความโหดเหี้ยมจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามโอกินาว่า และเมื่อสงครามได้สิ้นสุดลงในปี 1945 ด้วยการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของญี่ปุ่น แน่นอนว่าเหล่าบุคคลระดับสูงของญี่ปุ่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพาให้ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามนั้น จะต้องถูกพิพากษาลงโทษในฐานะที่เป็น "อาชญากรสงคราม" ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่จะต้องถูกพิพากษาในฐานะของอาชญากรสงคราม ก็หนีไม่พ้นสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ (Showa) หรือสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (Hirohito) ผู้เป็นประมุขสูงสุดแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นนั่นเอง
แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระองค์ก็ได้รอดพ้นจากสถานะของการเป็นอาชญากรสงครามเพราะอเมริกาไม่ต้องการให้เกิดการฆ่าล้างแค้นและการใช้ระเบิดพลีชีพโดยชาวญี่ปุ่นดังนั้นหากเกิดการล้มล้างระบอบจักรพรรดิขึ้นมา ชาวญี่ปุ่นจะต้องลุกฮือขึ้นต่อสู้ และความวุ่นวายก็จะไม่มีวันจบสิ้น และมีชาวญี่ปุ่นบางกลุ่มให้ข้อมูลว่าในช่วงสงครามสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ อาจจะทรงเป็น "เหยื่อ" ของเหล่านายพลและรัฐบาลนิยมเผด็จการทหารในช่วงเวลานั้นมากกว่า และพระองค์ก็ไม่ได้มีอำนาจในสั่งการใด ๆ ในสงคราม และพระองค์ก็ได้เป็นประมุขสูงสุดของญี่ปุ่นต่อไป จนกระทั่งสวรรคตในปี 1989
cr.1
https://www.silpa-mag.com/history/article_2158cr.2
https://www.bbc.com/thai/international-48097622
ความเต็ม https://m.facebook.com/groups/283213715860116/permalink/898833430964805/