เสรีภาพ คืออิสระในการแสดงความเห็น ทั้งทางการเมือง การคิด ทัศนะคติต่างๆอย่างเปิดเผย วิพากย์ วิจารณ์กันไปได้ต่างๆนาๆ
ทว่าคำว่าเสรีภาพแบบไทยๆนั้นกลับถูกตีความด้วยฝ่ายขวาไทย (ถ้าเทียบกับสากลก็ถือว่าระดับพวกคลั่งศาสนา) ซึ่งเป็นฝ่ายชนะมาอย่างยาวนานตั้งแต่เหตุการณ์ 6ตุลา2519 ที่ตีความอย่างสร้างภาพว่าเสรีทุกอย่าง แต่พอภาคสนามจริงๆ ความเห็นที่ฝ่ายขวาต้องการจะเป็นที่ยอมรับและต้องการมากกว่า และมีสิทธิบนเวทีและกลางแจ้ง สามารถพูดจาตรงไปตรงมาได้ ซื่อสัตย์ต่อความคิดตัวเองได้อย่างเต็มที่ มีสิทธิจู้จี้ แทรกแซงหลายๆคนได้ด้วยการอ้างหลักศีลธรรมอันดีย์งามและ....
ส่วนฝ่ายซ้าย ที่การแสดงความเห็นมักต้องระวังคำพูดเกือบทุกอย่าง หลายๆอย่างไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ พูดผิดเพียงนิดเดียว ซอฟต์ๆหน่อยก็เป็นจบแค่เป็นการบอกเล่า ไม่เอามาเป็นสาระ ไม่ให้ค่า เป็นแค่ความเพ้อฝัน หนักหน่อยก็โดนประนามว่าหัวรุนแรง หรือกรณีการดีเบทกับฝ่ายขวา ก็มักจะโดนว่าไม่เคารพความคิดต่าง (ที่เนื้อหาถ้าเอามาใช้งานจริง จะมีคนที่ต้องเดือดร้อนบาน) เป็นเผด็จการเสียเอง ลามไปถึงล้มล้าง.... โดนต่างชาติจ้างมาเป็นนอมินียึดประเทศ ร่วมโกงจำนำข้าว มีหุ้นกับที่ดินรัชดา บลาๆๆ
จู่ๆผมก็นึกถึงทฤษฎีเรื่องการปล่อยปลา ผมลองเอาเรื่องนี้มาผูกโยงกัน มันมีส่วนคล้ายกันมากๆ คือการปล่อยปลาถือเป็นการทำบุญ เป็นอีเวนต์ทำบุญลำดับต้นๆของพวกมีอันจะกิน และแหล่งเงินแหล่งทองของพ่อค้า-แม่ค้าหัวใสที่รู้จักการใช้หลักจิตวิทยาของคนไทยในการจับปลามาไว้ในถังแคบๆ ปลาก็ดิ้นกันแด่วๆอยากออกโว้ย คนเห็นก็สงสารซื้อไปปล่อยกัน
และหลักการปล่อยปลาของบ้านเรา(ทางธรรม) ถ้าเอาแบบโลกสวยจ๋าๆ คือปล่อยปลาไหนก็ได้บุญหมดนั่นแหละ เพราะช่วยออกจากที่คุมขังได้เหมือนๆกัน แต่ก็ยังมีการแบ่งชนชั้นกันอีก คือข้อปลีกย่อยตรงที่ ยิ่งปล่อยปลาใหญ่ได้บุญมาก ซึ่งพวกปลาใหญ่ที่ว่าหลักๆก็ปลาดุก ปลาช่อน ปลาไหล ปลาหมอ โดยปลาพวกนี้เป็นปลาที่หาซื้อได้ง่าย และในทางโลกเองก็ยังมีเหตุผลมา Support คือยิ่งตัวใหญ่ โอกาสรอดจากปลาเจ้าถิ่นมีมากกว่า ส่วนใครซื้อปลาเล็กไปปล่อยก็จะโดนสายบุญด้วยกันเหยียดว่าจนแล้วยังจะมีหน้ามาปล่อยปลา ปล่อยไปก็โดนกิน
สองชนิดหลังยังไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ปลาดุก ซึ่งเป็นปลาที่ปัจจุบันเริ่มมีการรณรงค์ว่าไม่ควรปล่อย เพราะถ้ามีมากเกินไปจะทำลายพันธุ์ปลาต่างถิ่น (ปลาดุกส่วนมากที่ขายตามตลาดมักเป็นสายพันธุ์ผสม หรือในวงการปลาเรียกกันว่าบิ๊กอุย) และโดยธรรมชาตินั้นปลาดุกนั้นกินจุ กินสัตว์น้ำได้ทุกประเภทที่ตัวเล็กกว่าหัวมัน อีกทั้งปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีขายทุกร้าน มีตั้งแต่จับใส่ถังจุ่มน้ำดีๆยันวางตากแดด+ฝูงแมลงวันไว้บนถาด บางตัวก็คลานดื๊บๆไปตามท้องถนน โดยอันหลังจะได้คะแนนความสงสารจากพวกสายบุญมาก ครังจะมีการรณรงค์ว่าปลาดุกไม่ควรปล่อยนะ มันไม่ใช่การทำบุญที่ดี มันคือการทำลายสมดุล ควรปล่อยปลานี้ ปลานั้นแทนก็จะโดนโวยว่าขัดขวางการทำบุญ แถมปลาดุกยังเป็นปลาที่หาซื้อง่าย เรียกคะแนนสงสารได้มาก
เสรีภาพแบบไทยๆนั้นมันก็เหมือนกับการปล่อยปลา จุดที่โยงกันได้คือ
1.ขวาไทย = พวกปล่อยปลาใหญ่
2.ซ้ายไทย = พวกปล่อยปลาเล็ก
โดยทั้งคู่ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หากแต่ทั้งคู่ก็ได้สิทธิทางสังคมไม่เท่ากัน คือฝ่ายหน้ามีสิทธิมีเสียงมาก และเสียงดังมากกว่า มีอำนาจต่อรองและโครงข่ายผลประโยชน์มากกว่า โดยไม่สนว่ามันจะทำความเดือดร้อนด้านสมดุลของธรรมชาติมากแค่ไหน ส่วนฝ่ายหลังอำนาจต่อรองมีน้อย ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่า อีกทั้งกลุ่มนี้มักโดนข้อครหาต่างๆนาๆ เช่น ปล่อยปลาไปโดนกิน ปล่อยปลาเล็กได้บุญน้อย และคนกลุ่มปล่อยปลาเล็กมักถูกมองเป็นลูกค้าระดับตลาดล่างเพราะปลาเล็กมักถูกกว่าปลาใหญ่