หืม ไม่ล่ะครับ
คุณสนธิลิ้มสอนผมมาว่า ไม่มีความเป็นกลางระหว่างถูกกับผิด
มีขี้กับข้าว ทุกคนก็ควรเลือกข้าวและไม่มีใครกินขี้ผสมข้าว
คุณสนธิพูดมาว่างั้นและผมเอาเป็นหลักเตือนใจถึงทุกวันนี้
ลูกจีนก็รักชาติไปประท้วงเย้วๆได้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ไม่ไปประท้วง เอานักศึกษาม.ราม ของสุริยะใส ไปประท้วงก็โอเค
..
แซวกันเล่นๆ แต่สถานการณ์ประวัติศาสตร์น่าสนใจจริงๆ
บางครั้งประโยคหลายอย่างที่ฝ่ายสนธิพูดไว้มันก็กลับมาเองล่ะนะ
การประท้วงหรือการรัฐประหารมันเหมือนกล่องแพนโดร่าบ็อกซ์ หากเปิดมันแล้ว คือการแสดงว่าตัวอย่างของการเรียกร้องนั้นมันได้ผลและคนก็จะทำมันอย่างสม่ำเสมอ
เอาแบบวิชาการหน่อย
ไม่อยากตำหนิใครงั้นเรามาพูดอย่างความจริงละกัน
ในทางเทคนิค
การมีสภาผู้แทนก็เพื่ออย่างที่ท่านพูดล่ะครับ
คนเราต้องทำมาหากินใครจะบ้ามาประท้วงทำให้เดือดร้อนตนเอง เดือดร้อนครอบครัว
เราจึงมีระบบผู้แทนขึ้นมาเพื่อจิกหัวใช้งานผู้แทน
ให้เรียกร้องผลประโยชน์แทนเรา
จนเจอแบบความเป็นจริงหน่อยที่บอกว่า
ผู้แทนจึงมักจะเป็นคนรวยระดับหนึ่ง ที่คนจนเชื่อใจเลือกเข้าไปในสภา ให้โหวตและรักษาผลประโยชน์แทนเรา
เพื่อไม่ให้คนธรรมดาต้องเหนื่อยไปเรียกร้องอะไรด้วยตนเองเสียบเวลาทำมาหากิน
ปัญหาน้อยนิดแต่มหาศาลคือ
หากแนวทางผู้แทนไม่ได้ผล
ท่านจะทำอย่างไร หากผู้แทนที่ท่านตบหัว ใช้งานมันเป็นขี้ข้า เรียกร้องแทนเราเพื่อที่เราจะไปทำมาหากินนั้นไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างที่เราต้องการ?
ท่านจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ทำงานต่อไป ว่าอย่างนี้ดีแล้วล่ะ ผู้แทนของพวกเราเสียไปทำงานไม่ได้ ก็ดีแล้วอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปวันวัน
นั่นคือแนวคิดของ"คนดี"
ส่วนของคนโลภและคนเลวคือ
หากผลประโยชน์ของเราเสียไป เราก็ต้องไปทวงผลประโยชน์เราคืน
จะมองว่าให้คนอื่นแย่งของของเราไปและยอมง่ายๆก็ฝันไปเถอะ
แน่นอน นี่คือสาเหตุที่สนธิลิ้ม ปลุกระดม การทวงคืน ปตท.หรืออะไรอื่นๆได้
เพราะทำให้รู้สึกว่าผลประโยชน์ถูกกระทบ
วงจรสังคม มันได้สอนให้เรียนรู้เรื่อง "ทวงคืนผลประโยชน์ประเทศไทย"นั้นนับเป็นคุณูปกรณ์ของคุณสนธิลิ้มอย่างมากๆ
หากถามความเห็นผมล่ะนะ