มี 2 ตัวละครมานำเสนอครับ
1.นักฉอด-เป็นผู้หญิง อายุ 59 ปี แต่หน้าดูสาวเพราะศัลยกรรม
-อาชีพขายน้ำหมักและเครื่องสำอางค์
-ช่วงปี พศ. 2552-2556 เคยเปิดรายการขายของ แต่โปรโมทโดยการด่าละครน้ำเน่า แนวเรื่องที่โดนหนักๆก็พวกประเภทปลูกฝังความกตัญญูแบบสุดโต่ง ถ้าช่วงนั้นไม่มีละครแนวนี้ก็ไปเล่นเคสพ่อแม่ทารุณกรรมลูกต่างๆ
-จากกรณีข้างบน โดนปิดช่องเนื่องจากแตะละครทองเนื้อเก้า โดนแฟนคลับรุมฟ้องกระทรวง+ช่วงนั้นมีคนใหญ่คนโตเอ่ยชมละครเรื่องนี้ผ่านโซเชียลพอดี เลยปลุกปั่น(ทางอ้อม)ให้ติ่งรวมตัวฟ้องร้องช่องจนโดนปิด
-สำหรับอดีตของตัวละครนี้คือเมื่อตอนเด็ก(พศ.2518) แรกๆก็มีครอบครัวปกติ มีพ่อแม่ และพี่ชายคนนึง(แก่กว่า 2 ปี) แม่เป็นนายหน้าปล่อยเงินกู้นอกระบบ พ่อทำร้านก๋วยเตี๋ยว แต่ชอบเล่นหวย ได้บ้างเสียบ้างสลับกันไป จู่ๆแม่ก็หนีตามชู้ไปเพราะทนนิสัยพ่อไม่ไหว แรกๆสองพี่น้องก็จะไปกับแม่แต่ก็โดนสวนมาว่า "พวกแกคือผลจากความผิดพลาดจากการเลือกผู้ชายผิด" แล้วก็ทิ้งสองพี่น้องเอาไว้กับพ่อที่ผีพนันเข้าสิง
-หลังจากที่แม่จากไป นรกก็มาเยือนสองพี่น้องเพราะรายได้มาจากที่สองพี่น้องขายก๋วยเตี๋ยว สองคนนี้ต้องทำงานหนักเพราะบางวันพ่อที่เสียพนันมาก็จะไถตังค์ไป แถมยังไปเสี่ยงโชคอย่างอื่น เช่น ไพ่ป๊อกเด้ง ไหนละเหล้าย้อมใจอีก เงินที่ได้ก็น้อยมากๆ เช่นบางวันขายได้ 200 บาทก็จะเอาไปมากถึง 180 บาทให้สองพี่น้องแบ่งกันใช้ 20 บาท(ซึ่งยังต้องใช้ซื้อวตถุดิบทำก๋วยเตี๋ยวเพิ่มอีก บางวันก็ต้องติดทางร้านไว้ก่อนด้วยซ้ำ) ถ้าเงินเหลือน้อยก็ทุบตีสองพี่น้องจนเกิดบาดแผลฟกช้ำ
-พศ.2520 คนพี่พาน้อง(ตัวละครนี้)หนีออกจากบ้านด้วยเงินเก็บ+เงินที่แอบเม้มซ่อนเอาไว้โดยขึ้นรถไฟเข้าตัวเมือง
-เมื่อเข้าเมือง ตัวละครนี้ทำงานเป็นเด็กเสริ์ฟร้านอาหารย่านสถานีรถไฟ ส่วนพี่ชายไปทำงานเปนลูกจ้างในโรงงาน
-กระทั่งปี พศ.2523 ก็มีแมวมองจากตู้เสบียงรถไฟ(ซึ่งเป็นขบวนที่ไม่ได้ผ่านอำเภอบ้านเกิดตัวเอง)มาเป็นแมวมองหาคนทำงานก็เสนอให้ตัวละครนี้ไปทำงานตู้เสบียง ซึ่งตัวละครของเรานี้ก็ไปเพราะเห็นว่าเงินดี+สมัยนั้นตู้เสบียงกำลังเป็นที่ฮอตฮิต
-พศ.2526 สองพี่น้องก็ได้ดี เพราะโรงงานที่พี่ชายทำก็กำลังพัฒนารุ่งเรืองมีต่างชาติมาร่วมลงทุนลูกจ้างเลยได้ดีตามไปด้วย ฝั่งจีน่าก็ได้เข้าครัววันแรกเพราะกุ๊กป่วย ซึ่งฝีมือทำอาหารของเธอก็ถูกปากลูกค้าหลายคน(รวมทั้งตัวละครที่2 ที่ยังเด็กก็ได้กินด้วย) อีกทั้งความทุ่มเทของเธอที่นอกจากเรื่องอาหารก็รักในงาน ทำความสะอาดตู้รถไฟขายอาหารนี้เสมอ เช่น พัดลมเสีย ไฟไม่ติดก็เปลี่ยนให้เลยโดยใช้เงินเก็บของเธอไม่รอเบิกส่วนกลาง ทำความสะอาดเป็นประจำ ปิดประตูทางขึ้น-ลงขณะรถวิ่งเสมอ ทำจนได้ชื่อว่าเป็นพนักงานดีเด่น คนในตู้เสบียงก็รักเธอเหมือนพี่น้อง
-แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขดุจโลกดิสนีย์ก็อยู่ไม่นาน เพราะปี พศ.2528 รายการตามหาครอบครัวก็ได้นำเสนอข่าวพ่อของเธอออกทีวีตามหาลูก ซึ่งฝ่ายพ่อนั้นก็พูดจาให้ตัวเองดูน่าสงสารเพราะโดนลูกทิ้ง เพราะตัวเองนั้นจน มีหนี้เพราะเอาเงินมาเลี้ยงดู แต่ลูกกลับมาทิ้งไป เอาง่ายๆคือใส่ไฟลูกตัวเองสารพัดแถมโชว์รูปสองพี่น้องออกทีวี จนคนที่ดูทีวีก็พูดนินทาว่าร้ายทั้งสองคนเสียงเซ็งแซ่ไปทั่ว
-พศ.2529 พี่ชายในช่วงนั้นเองก็เริ่มป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจจากมลพิษในโรงงาน(ซึ่งสมัยนั้นระบบการจัดการสารพิษไม่ค่อยดี) และยังเป็นไข้เลือดออกจากการที่อาศัยริมคลองน้ำเน่า คนพี่ที่เลิกงานค่ำหลายวันติดบางครั้งก็เผลอนอนริมคลองก่อนถึงบ้านเพราะเดินไม่ไหวจนโดนยุงกัด นานๆเข้าเลยเป็นไข้เลือดออก เงินที่มีก็เกือบหมดกระเป๋า(สมัยก่อนไม่มีสวัสดิการบัตรทอง)จนต้องไปกู้เงินนอกระบบ
-พี่ชายเข้าโรงพยาบาล วันที่พ่อมาเยี่ยมก็พูดจาดูถูกสารพัดแถมไม่แบ่งเงิน(ที่ทางรายการ+คนโลกสวยบริจาคมา) แล้วก็ไซโคว่าเป็นผลของ "ความอกตัญญู"
-เช้าวันต่อมา พี่ชายเสียชีวิต ตอนนี้ก็แทบไม่เหลือเงินแล้ว เจ้าหนี้ก็ยังตามทวงไม่เลิก ยังโชคดีที่เด็กหญิง(ตัวละครที่2)วันนั้นมาช่วยเรื่องนี้เพราะเคยติดค้างค่าอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งชุดใหญ่แต่ไม่มีเงินจ่ายเพราะทำกระเป๋าตังค์หาย(ซึ่งตัวละครนี้ก็ให้ฟรีแถมบอกว่ามีเมื่อไหร่ก็มาจ่ายนะ แถมยังให้เงินค่ารถกลับบ้านด้วย) คือช่วยแบบช่วยจริงๆ ทั้งจ่ายเงินที่ติดหนี้ให้ และช่วยงานศพพี่ชาย
-พศ.2530 พ่อนางตาย นางไปงานศพก็เจอแม่ที่มาเหน็บแนมว่าเป็นลูกอกตัญญู แค่พ่อคนเดียวทนไม่ได้ เลยตัดสัมพันธ์กับแม่และญาติแบบไร้เยื่อใย
-พศ.2532 นางมีรักใหม่กับหนุ่มหล่อฐานะปานกลาง คบกันจนถึงปี พศ.2534 ก็ได้กันจนท้อง จนถึงวันที่ทั้งคู่จะไปจดทะเบียนสมรสก็เกิดอุบัติเหตุเจอพวกแว๊นซ์รถเก๋งขับรถมาชนรถของนางกับผัว ซึ่งผัวตายคาที่ ส่วนนางรอดหวุดหวิดแต่แท้งลูกแถมมดลูกเสียหายจนต้องตัดทิ้ง หมดโอกาสที่จะมีลูกอีก ซึ่งความฝันอยากมีครอบครัวที่ดีของนางนั้นก็พังลง
-พศ.2542 นางเริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเองด้วยการทำน้ำหมักขาย ออกหาเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียว จนไปเจอเคสเมียที่กำลังหอบลูกหนีผัว เลยพาขึ้นรถแล้วขับหนีข้ามเมืองแล้วให้ทำงานร่วมกับนาง ทำพักนึงหญิงสาวคนนั้นก็แยกตัวไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
-พศ.2546 ระหว่างที่เธอกำลังนั่งเฝ้าแผงขายน้ำหมักสูตรแฮนด์เมดนั้นเธอก็ได้เจอหญิงขี้เมามาอาละวาดกลางตลาดจนของบนแผงร่วง เลยจะตามมาตบก็พบหญิงขี้เมาคนนั้นกำลังทุบตีลูกชายวัย 6 ขวบของตัวเองที่กำลังหนี ทั้งนี้เพราะว่าหญิงคนนั้นใช้ลูกไปซื้อเหล้า แล้ววันนั้นซื้อให้ผิดยี่ห้อ+ผิดร้านเพราะดันไปซื้อจากร้านคนที่เคยไปมีเรื่องด้วย ซึ่งตัวละครนี้เห็นแล้วเลยของขึ้นเข้าบุกเดี่ยวกับหญิงขี้เมา ยกกฎหมายคุ้มครองเด็กที่พึ่งบังคับใช้ไปไม่กี่วันก่อน และเรื่องห้ามเด็กซื้อเหล้ามาชี้หน้าด่า และพาเด็กคนนั้นส่งปวีณาหาคนรับเลี้งใหม่ต่อไป
-พศ.2552 เริ่มจัดตั้งรายการขายของโดยใช้ความแรงเป็นจุดขาย ซึ่งมีทั้งน้ำหมักและเครื่องสำอางค์ที่รับของเขามาขายสลับกันไป หลังๆก็ยกละครเนื้อหาแย่กับเคสเด็กโดนทารุณกรรมมาโหน(แต่ก็เป็นการช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นได้เช่นกัน)
2.ท่านหญิงนักพัฒนา-เป็นผู้หญิง อายุ 53 ปี
-อาชีพผู้ว่าการรถไฟแห่งหมู่เกาะซีน่า
-เป็นหม่อมราชวงศ์ มีเชื้อสายจากแม่ แต่แม่ไปกินไก่วัดกับคนขับรถจนท้อง พ่อเธอ(คนขับรถ)เลยโดนไล่ออกไปพร้อมกับลูกเพราะเป็นลูกสาว(ซึ่งก่อนหน้าก็มีเงื่อนไขว่าถ้าเป็นลูกชายจะเก็บไว้แล้วไล่คนเดียว)
-ช่วงวัยเด็กถึงวัยรุ่นมีชีวิตแบบสามัญชน พ่อก็ทำค้าขายของในชุมชนบ้านเกิด เธออยู่กับพ่อซึ่งเป็นระดับชาวบ้านและไม่มีทัศนคติเคร่งเรื่องหญิง-ชาย เลยค่อนข้างโลดโผนระดับหนึ่ง
-ครั้งหนึ่งช่วงปี พศ.2524 เคยทำกระเป๋าเงินหายบนรถไฟในขณะที่ขึ้นรถไฟกลับจากไปเที่ยวเล่นเสาร์-อาทิตย์ กว่าจะรู้ตัวก็คือหลังสั่งอาหารชุดใหญ่จากตู้เสบียงตัวละครที่1 ไปแล้ว ซึ่งตัวละครที่1 ก็ใจดีให้กินฟรีแถมให้เงินติดตัวกลับบ้าน แล้วก็รู้จักกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
-พศ.2529 แม่ของท่านหญิงมาบอกความจริงว่าจริงๆคือท่านหญิงไม่ใช่ชาวบ้าน แต่เป็นหม่อม แรกๆก็ช็อคแต่ก็ตั้งตัวได้ทันที สิ่งแรกที่ขอก็คือขอให้ช่วยเหลือตัวละครที่1 ที่กำลังลำบาก ด้วยความรักลูกที่พลัดพรากมานานก็ช่วยเหลือตามนั้น แรกๆก็ไปอยู่ในวังแต่ก็โดนพวกน้องต่างพ่อรังเกียจเลยขออยู่กับพ่อที่ต่างจังหวัดต่อ
-ช่วงเรียนมหาลัยปี1 ปลายปี พศ.2530 เธอกลับบ้านโดยการขึ้นรถทัวร์จาก บขส. ในช่วงเย็นวันหยุดแรก(ที่เธอโดยสารทางนี้เพราะเธอไปสถานีรถไฟช้าเกินไป แถมสมัยนั้นรถไฟคนขึ้นเยอะมากระดับปีนหลังคาแบบรถไฟอินเดีย) เธอนั่งรถทัวร์ป.2 ซึ่งฝั่งที่เธอนั่ง(ที่นั่งฝั่งเดียวกับฟุตบาท)มีการปิดผ้าม่านเอาไว้ทั้งแถบ เธอเปิดผ้าม่านจุดที่เธอนั่งเพราะแดดหมดแล้วเพื่อหวังดูวิว+เห็นว่าอับแถมหลังเธอขึ้นมาแปปๆก็คนตามขึ้นมากันแน่นจนโหนเป็นกรงลิง แต่เด็กรถก็มาปิดผ้าม่านทั้งที่เธอนั่งอยู่แถมโวยวายใส่ ซึ่งเหตุผลคือต้องการปิดไม่ให้คนรอกลางทางรู้ว่าคนแน่นจะได้ไม่รอคันหลัง ไอ้ระหว่างทางนี้เองเด็กรถและคนขับก็หลอกล่อกันสุดๆ คือที่ป้ายใหญ่ป้ายนึงก็หลอกผู้โดยสารที่เดินมาโดยการตะโกนว่าในว่างๆรถจะออกแล้วๆ+ขยับรถนิดหน่อย พอขึ้นมาก็จอดรอคนต่อจนกว่าจะพอใจ เลยฝั่งใจกับการขึ้นรถทัวร์และใช้บริการรถไฟอย่างเดียวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
-ทีนี้ตัดมาตอนปี พศ.2552 เลยละกัน ตอนนี้นางก็อายุได้ 43 ปีแล้ว ท่านหญิงก็เข้ามาบริการการรถไฟซึ่งก่อนหน้านั้นเน้นสร้างทางเพิ่มโดยไม่เน้นคุณภาพตัวรถ งานแรกที่นางจะทำเลยคือการรีโนเวทรถพัดลมเป็นรถแอร์ และสั่งรถดีเซลรางรุ่นใหม่มาวิ่งให้บริการในขบวนธรรมดา รถเร็วและรถด่วนเที่ยวกลางวัน ดัดแปลงรถพ่วง(ไม่ใช่ดีเซลราง)ชั้นสามทุกคันเป็นรถชั้นสองเบาะเอน บางส่วนทำรถนอนวิ่งเป็นรถเที่ยวกลางคืน
-สิ่งที่ระห่ำหน่อยคือนางแปะเลขบัญชีของส่วนกลางเพื่อให้ผู้คนบริจาคเงินเข้ามาช่วยเหลือการรถไฟให้ซื้อขบวนรถใหม่ โฆษณาเล่นใหญ่มาก ซึ่งท่านหญิงก็ทำจริงๆตามที่โฆษณาไว้เช่นกันจนได้ความศรัทธาจากประชาชนในระดับหนึ่ง
-ทั้งนี้นางก็ยังต่อตู้รถไฟสองชั้นไว้วิ่งเป็นรถนำเที่ยว เก้าอี้ก็เอามาจากรถชั้นสามพ่วงของเดิมที่ถูกเปลี่ยนเป็นชั้นสอง โดยให้เป็นรถร้อนชั้นสามสำหนับผู้ที่ต้องการสัมผัสความคลาสสิคย้อนยุคในฤดูท่องเที่ยวและใช้เสริมทัพช่วงเทศกาลปีใหม่/สงกรานต์
-เปิดให้เอกชนมาลงทุนรถไฟขบวนด่วนพิเศษ รถไฟท่องเที่ยวขนาดเล็ก และรถไฟโรงแรมเพื่อเก็บค่าเช่าสัมปทานเป็นรายได้อีกทาง
-สถานีต่างๆทำเป็นระบบชานชาลาปิด เข้าไปถ้าไม่ขึ้นรถไฟต้องจ่าย 20-30 บาทตามระดับสถานี
-เอาตู้รถไฟปลดระวางมาทำล็อคร้านค้าตามสถานีใหญ่ต่างๆให้ร้านค้าและธุรกิจต่างๆเช่าที่
-พอปรับปรุงคุณภาพเสร็จก็ได้สร้างทางคู่ในเส้นทางรอง และทำบายพาสบางส่วนให้ทางตรงขึ้นเพื่อให้ทำความเร็วแข่งกับรถบัสได้
-ทั้งหมดทั้งมวลคือเอาแรงแค้นเป็นแรงผลักดัน